Executive Summary - นโยบายการเงินเริ่มหมดลง มาตรการการคลังเริ่มมาแทนที่

ข่าวประชาสัมพันธ์ »

          โดย นางเจเน็ต เฮนรี่ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ ธนาคารเอชเอสบีซี 
          การผ่อนคลายนโยบายการเงินทั่วโลกอาจจะเริ่มหมดลง แต่การกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านมาตรการการคลังยังคงหนุนการเติบโตของเศรษฐกิจต่อไป ... หากไม่ใช้มาตรการการคลังลดความไม่สมดุลของโลก การเติบโตของเศรษฐกิจและเสถียรภาพทางการเงินโลกมีแนวโน้มที่จะเลวร้ายลงต่อจากนี้
          แม้ธนาคารกลางทั่วโลกได้ทุ่มสุดตัว การเติบโตของเศรษฐกิจโลกยังคงเชื่องช้าและอัตราเงินเฟ้อยังคงอ่อนแอเช่นเดิม การประมาณการเศรษฐกิจของเราสำหรับสองปีข้างหน้า สะท้อนว่าสถานการณ์ยังไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ขณะที่ความเชื่อมั่นต่อความสามารถของธนาคารกลางในการกระตุ้นเศรษฐกิจเริ่มลดลงและประสิทธิผลของมาตรการปัจจุบันยังไม่ชัดเจน นโยบายการคลังเริ่มมีบทบาทมากขึ้น แต่ยังคงไม่เพียงพอและควรจะต้องมีขนาดใหญ่และตรงเป้าหมายมากขึ้น เพื่อที่ส่งเสริมการเติบโตของเศรษฐกิจให้ได้ในระยะยาวและลดความไม่สมดุลของเศรษฐกิจโลกที่คอยส่งผลให้เกิดภาวะเงินฝืด แม้ว่าทางออกนี้ดูจะตรงไปตรงมา แต่อุปสรรคทางการเมืองและเชิงสถาบันสะท้อนว่าการเปลี่ยนแปลงจะเชื่องช้า ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายต้องอยู่ในระดับต่ำต่อไป และบ่งชี้ว่าความเสี่ยงด้านการเติบโตและเสถียรภาพทางการเงินยังจะมีอยู่ต่อไป เมื่อคำนึงถึงความกังวลเกี่ยวกับความเหลื่อมล้ำทางรายได้ที่สูงขึ้น นั่นย่อมหมายความว่านโยบายด้านเศรษฐกิจในช่วงสองปีข้างหน้าอาจจะเน้นด้านเศรษฐกิจจุลภาคมากขึ้นจากเดิมที่เป็นด้านมหภาค
          การลงคะแนนเสียง 'Brexit' ของสหราชอาณาจักรอาจจะไม่ได้ส่งผลให้เศรษฐกิจของสหราชอาณาจักรหรือยุโรปปรับตัวเป็นขาลงในทันทีดังที่หลายฝ่ายเป็นกังวล แต่ในขณะเดียวกันเศรษฐกิจโลกไม่ได้ปรับตัวดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ระดับหนี้ยังคงสูงกว่าก่อนวิกฤตการเงินปีค.ศ. 2008 และการเติบโตด้านผลิตผลยังอยู่ในระดับที่อ่อนแอกว่ามาก การใช้จ่ายของผู้บริโภคยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนการเติบโตหลัก ในขณะที่การการลงทุนยังคงซบเซาและการค้าโลกอย่างมากได้แค่ทรงตัว นอกจากนี้ อัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำจนน่ากังวล
การผ่อนคลายทางการเงินยังคงไม่เปลี่ยนแปลงสำหรับหลายประเทศทั่วโลกและยังคงมีมาตรการตัวเลือกที่ยังไม่ถูกนำออกมาใช้ อย่างไรก็ดี การที่ธนาคารกลางของประเทศเศรษฐกิจใหญ่ เช่น บีโอเจ และ อีซีบี ไม่ได้เพิ่มมาตรการในการประชุมนโยบายการเงินหลายรอบที่ผ่านมา ก่อให้เกิดความกังวลและข้อสงสัยในทั้งด้านประสิทธิผลของนโยบายการเงินและข้อจำกัดทางเทคนิคเกี่ยวกับมาตรการ QE ในช่วงต่อไป และความกังวลดังกล่าวมีแต่จะมีมากขึ้น โดยเฉพาะในแง่ที่ว่านโยบายการเงินเพียงอย่างเดียวจะรักษาเป้าหมายเงินเฟ้อได้หรือไม่ และเป้าหมายเหล่านั้นจำเป็นต้องได้รับการเปลี่ยนหรือแม้กระทั่งแทนที่ด้วยแนวทางนโยบายการเงินรูปแบบใหม่หรือไม่
          ในขณะที่ข้อถกเถียงในเรื่องเหล่านี้ยังคงดำเนินต่อไป เสียงที่เริ่มดังขึ้นคือการเรียกร้องให้อีกฟากหนึ่ง คือ นโยบายการคลัง เข้ามามีบทบาทมากขึ้นในการพยายามฟื้นฟูการเติบโตของเศรษฐกิจโลกให้แข็งแกร่งอีกครั้ง ประธานเฟดรายสาขาคนหนึ่งได้ออกมาเรียกร้องอย่างชัดเจนให้ใช้นโยบายด้านการคลังและด้านอื่นๆมาช่วยยกระดับการเติบโตของเศรษฐกิจและอัตราดอกเบี้ยในระยะยาว แม้ว่าธนาคารกลางอื่นอาจจะไม่ได้ระบุชัดเจน แต่ดูเหมือนว่าจะมีความเห็นเป็นเอกฉันท์ว่าการกระตุ้นเศรษฐกิจจะต้องพึ่งพานโยบายทางการคลังมากขึ้น ข่าวดีก็คือว่ามันได้เริ่มขึ้นแล้ว การปฏิรูปภาษีในกลุ่มประเทศ OECD ได้มุ่งเน้นในเรื่องของการเติบโตในปีที่ผ่านมา และการเติบโตของการใช้จ่ายภาครัฐทั่วโลกในปีนี้มีระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปีค.ศ. 2009 นโยบายที่ผ่อนคลายทางการคลังในกลุ่ม G7 และการใช้จ่ายภาครัฐที่สูงขึ้นในประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ เช่น จีน ตุรกี ฟิลิปปินส์ และอินเดีย ส่งผลให้เราปรับประมาณการการใช้จ่ายภาครัฐในปีหน้าสำหรับทั่วโลกขึ้น
การกระตุ้นอุปสงค์ในระยะสั้นอาจจะมีส่วนช่วยในสถานการณ์ปัจจุบันที่เศรษฐกิจโลกยังขาดการเติบโตที่แข็งแกร่ง แต่หากเราต้องการให้การกระตุ้นเศรษฐกิจไม่ได้เป็นเพียงการเพิ่มหนี้ภาครัฐและความกังวลต่อเสถียรภาพการคลัง ภาครัฐควรจะต้องมีการกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนเพื่อสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจในระยะยาว นอกจากนี้ ยังมีความจำเป็นเร่งด่วนที่จะใช้มาตรการการคลังลดความไม่สมดุลของโลก
          ก่อนอื่น ควรจะมีขั้นตอนที่เหมาะสมเพื่อดำเนินการลดการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดของเยอรมนี จีน และญี่ปุ่น ซึ่งยังคงสร้างแรงกดดันให้เงินเฟ้อทั่วโลกอยู่ในระดับต่ำเกินไป อนึ่ง เพื่อหนุนอุปสงค์ในประเทศ ญี่ปุ่นสามารถใช้มาตรการด้านสิทธิประโยชน์ทางภาษีมากขึ้นเพื่อลดการออมที่สูงเกินไปของภาคธุรกิจ เช่น การเพิ่มค่าจ้าง ซึ่งในที่สุดอาจจะนำไปสู่การเปลี่ยนความคาดการณ์เกี่ยวกับภาวะเงินฝืดในประเทศ สำหรับเยอรมนี การลดระดับเงินออมของรัฐบาลผ่านการลงทุนภาครัฐที่สูงขึ้นอาจเป็นแรงจูงใจให้เกิดการลงทุนภาคเอกชนมากขึ้น ส่วนในประเทศจีน หลักๆต้องลดการออมในภาคครัวเรือน 
          เราคาดว่าการเปลี่ยนแปลงหรือการใช้มาตรการจะไม่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งบ่งชี้ว่าการเติบโตและเสถียรภาพทางการเงินของเศรษฐกิจโลกอาจจะเลวร้ายลง อันที่จริง จากประสบการณ์วิกฤตปี 2007-08 หลายฝ่ายเคยกล่าวหาว่าเงินออมที่มีขนาดใหญ่เกินไปจากประเทศเหล่านี้ส่งผลให้การจัดสรรทรัพยากรถูกบิดเบือน ส่งผลให้เกิดภาวะฟองสบู่ในตลาดที่อยู่อาศัยและสินเชื่อและวิกฤตการเงินโลกในที่สุด 
          การเติบโตที่อ่อนแอและอัตราเงินเฟ้อที่ต่ำในประเทศอื่นๆบ่งชี้ว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบายระยะยาวของเฟดมีแนวโน้มที่จะอยู่ในระดับต่ำต่อไปและการลดการผ่อนคลายทางการเงินจะเป็นอย่างค่อยเป็นค่อยไป ปี 2017 จะไม่เป็นเพียงปีแห่งการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจมหภาค แต่จะมีนโยบายด้านอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องมากขึ้น เราไม่คาดว่าจะเห็นการควบคุมการเคลื่อนย้ายเงินทุนอย่างกว้างขวาง แม้ว่าประเทศเศรษฐกิจตลาดเกิดใหม่หลายแห่งเริ่มเผชิญกับปัญหา carry trade (การลงทุนระยะสั้นเพื่ออัตราผลตอบแทนที่สูงกว่า) อย่างไรก็ดี มาตรการควบคุมการเคลื่อนย้ายเงินทุนแบบเฉพาะเจาะจงเริ่มมีให้เห็นมากขึ้น หากความไม่สมดุลในระดับทวิภาคียังคงเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ มาตรการกีดกันการค้าที่เฉพาะเจาะจงอาจจะเริ่มมีมากขึ้นด้วย นอกจากนี้ หากความแตกต่างระหว่างอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจและอัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์ทางการเงินและสินทรัพย์ที่แท้จริงอื่นๆ กว้างขึ้นเรื่อยๆ ความกังวลเกี่ยวกับความเหลื่อมล้ำทางรายได้อาจจะเพิ่มขึ้นด้วย ส่งผลให้เกิดมาตรการอื่นๆเพื่อลดปัญหานี้ เช่น ภาษีเกี่ยวกับทรัพย์สินหรือความมั่งคั่งอื่นๆ 
          โดยสรุป การคาดการณ์ของเราสำหรับเศรษฐกิจโลกมีการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย โดยคาดว่าการเติบโตปีนี้จะขยับลงสู่ระดับ 2.1% (ลดลงเมื่อเทียบกับ 2.4% ในปี 2011-2015 และ 3.5% ในปี 2005-07) โดยการปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยของเศรษฐกิจยุโรปช่วงครึ่งปีแรกช่วยชดเชยการชะลอตัวของฝั่งสหรัฐฯในบางส่วน ในปี 2017 เราคาดว่าการเติบโตในยุโรปจะอ่อนแอลงแต่ในสหรัฐอเมริกาจะปรับตัวดีขึ้น เช่นเดียวกับประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ในละตินอเมริกาที่จะฟื้นตัวจากภาวะเศรษฐกิจถดถอย
          นอกจากนี้ เราได้ออกประมาณการสำหรับปี 2018 เป็นครั้งแรก การคาดการณ์ของธนาคารกลางส่วนที่ระบุว่าเวลาจะเป็นตัวเยียวยาปัญหาทุกอย่าง หรือ สองปีจากนี้เศรษฐกิจจะกลับสู่ภาวะปกติทั้งในด้านการเติบโตและอัตราเงินเฟ้อ เป็นมุมมองที่แตกต่างจากทางเรา ดังนั้น หากต้องใช้คำพูดสั้นๆอธิบายการคาดการณ์เศรษฐกิจปี 2018 ของเรา นั่นก็คือ 'คล้ายเดิม' โดยมองว่าการเติบโตของเศรษฐกิจโลกจะอยู่ที่ 2.5% ซึ่งปรับขึ้นจากปี 2017 เพียงเล็กน้อย


ข่าวธนาคารกลางทั่วโลก+ธนาคารเอชเอสบีซีวันนี้

YLG ขยับเป้าหมายทองคำปีนี้เป็น 2,700 ดอลลาร์ หลังเฟดลดดอกเบี้ย 0.50% ทองแท่งในประเทศลุ้นเป้าหมาย 42,600 บาท

วายแอลจีชี้ ปรับเป้าหมายทองคำขึ้นสู่ 2,700 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ หลังเฟดทำการลดดอกเบี้ย 0.50% ขณะเดียวกัน Dot Plot บ่งชี้ สิ้นปีนี้เฟดลดดอกเบี้ยได้อีก 0.50% เผยแม้ระยะสั้นมีแรงขายทำกำไรหลังราคาทำจุดสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง แต่มองปีนี้ยังไปได้ต่อ เปิดปัจจัยหนุนแข็งแกร่งอีก 3 ด้าน ทั้ง ประเด็นภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังยืดเยื้อ กองทุน ETF กลับเข้าซื้อทองคำต่อเนื่อง 4 เดือน พ.ค. ส.ค. และธนาคารกลางทั่วโลกยังคงเก็บทองคำเข้าพอร์ต ส่วนทองคำในประเทศให้เป้าหมาย 42,600-43,000 บาทต่อบาททองคำ หากเงินบาทไม่แข็งค่าเกิน

ธนาคารทิสโก้แนะขายตราสารหนี้ไทยซื้อตราสาร... ธ.ทิสโก้แนะ ขายบอนด์ไทย ซื้อบอนด์โลก เน้นอันดับเรตติ้ง A+ ขึ้นไป — ธนาคารทิสโก้แนะขายตราสารหนี้ไทยซื้อตราสารหนี้โลก เพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนสูงประมาณ 5% ขณะท...

บลจ.กสิกรไทย มองดอกเบี้ยทั่วโลกปรับขึ้นใก... บลจ.กสิกรไทย ชู K-FIXEDPLUS ช่วงดอกเบี้ยขาลง ชวนพลัสตราสารหนี้ระยะยาวเข้าพอร์ต — บลจ.กสิกรไทย มองดอกเบี้ยทั่วโลกปรับขึ้นใกล้จุดสูงสุด ต่อไปเป็นจังหวะดอกเบ...

วายแอลจี เผยเฟดขึ้นดอกเบี้ย 0.50% ตามคาด ... YLG เผยทองคำพักตัว หลังเฟดส่งสัญญาณเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยปีหน้า — วายแอลจี เผยเฟดขึ้นดอกเบี้ย 0.50% ตามคาด พร้อมส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องในปีหน้า กดดัน...

KKP Research วิเคราะห์ว่านโยบายการเงินของ... KKP ชี้กระแสโลกขึ้นดอกเบี้ยกดดันไทย คาด กนง. รอบหน้า ปรับดอกเบี้ย 50bps — KKP Research วิเคราะห์ว่านโยบายการเงินของไทยอาจล่าช้าจนเข้าสู่ภาวะ Behind the c...