EIC Conference 2016: จับตาการลงทุนภาครัฐ-เอกชน…แรงส่งเศรษฐกิจระลอกใหม่

08 Jun 2016
อีไอซี จัดงานสัมมนาประจำปี "EIC Conference 2016: จับตาการลงทุนภาครัฐ-เอกชน…แรงส่งเศรษฐกิจระลอกใหม่" เพื่อเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนได้มีความตระหนักในทุกแง่มุมโอกาสและความท้าทายทางเศรษฐกิจท่ามกลางสภาวการณ์ในโลกปัจจุบัน ตลอดจนผลกระทบทางภาคธุรกิจที่จะเกิดขึ้น โดยงานสัมมนาปีนี้จัดขึ้นในวันพุธที่ 8 มิถุนายน 2559 ณ ห้องคริสตัลฮอลล์ ชั้น 3 โรงแรมพลาซ่าแอทธินี รอยัล เมอริเดียน โดยได้รับเกียรติจาก นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี แสดงปาฐกถาพิเศษหัวข้อ "อนาคตไทยกับทศวรรษใหม่แห่งการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน" รวมถึง นางสาวสุทธาภา อมรวิวัฒน์ รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสูงสุด Economic Intelligence Center ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ร่วมบรรยายหัวข้อ "เดินเกมการลงทุน…ทางรอดเศรษฐกิจไทย" พร้อมด้วยเสวนาภายใต้หัวข้อ "โอกาสการลงทุนในทศวรรษแห่งโครงสร้างพื้นฐาน" โดย นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
EIC Conference 2016: จับตาการลงทุนภาครัฐ-เอกชน…แรงส่งเศรษฐกิจระลอกใหม่

นายคีรี กาญจนพาสน์ ประธานกรรมการ บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) และนายวีระวงค์ จิตต์มิตรภาพ ทนายความอาวุโส บริษัท วีระวงค์, ชินวัฒน์ และเพียงพนอ จำกัด

นายวิชิต สุรพงษ์ชัย ประธานกรรมการบริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) กล่าวเปิดงานสัมมนาว่า "สืบเนื่องจากสภาวการณ์ทางเศรษฐกิจโลกที่ไม่ปกติ ซึ่งส่งผลกระทบมายังประเทศไทย ทำให้เศรษฐกิจได้รับแรงกดดันจากทั้งปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ ทั้งนี้ การลงทุนภาครัฐจะเป็นแรงส่งที่สำคัญ จึงเป็นโอกาสและความท้าทายของทั้งภาครัฐ เอกชน รวมถึงธนาคารในการผสานความร่วมมือเพื่อช่วยกันขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวอีกครั้ง"

นางสาวสุทธาภา อมรวิวัฒน์ กล่าวว่า "เศรษฐกิจโลกปัจจุบันยังคงชะลอตัวจากวิกฤติการเงินโลกเมื่อ 8 ปีก่อนและยังไม่มีประเทศใดที่สามารถก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำทางเศรษฐกิจเหมือนในอดีต การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในหลายประเทศ เช่น การเข้าสู่สังคมสูงอายุ ภาระหนี้ที่สูง รวมไปถึงเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไป ทำให้ความต้องการในการใช้จ่ายและการลงทุนหดหายไป ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยโลกลดต่ำลงจนอยู่ในระดับเดียวกับยุค Great Depression ที่เศรษฐกิจโลกซึมเป็นเวลานานก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2

ในสภาวการณ์เช่นนี้ อีไอซีมองว่าทางรอดเดียวสำหรับเศรษฐกิจไทยคือ การใช้มาตรการทางการคลัง โดยเฉพาะการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานซึ่งสามารถช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น อีกทั้งยังเพิ่มศักยภาพการเติบโตในระยะยาว อย่างไรก็ตาม การสร้างโครงสร้างพื้นฐานจะต้องสอดคล้องกับทิศทางเศรษฐกิจโลกที่ปรับเปลี่ยนโครงสร้างไปสู่การพัฒนาธุรกิจภาคบริการมากขึ้น"

ทั้งนี้ อีไอซีแนะว่าการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานดังกล่าวควรที่จะเข้าไปสนับสนุนธุรกิจภาคบริการที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง 3 ด้าน ได้แก่

1. ธุรกิจท่องเที่ยว ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาในไทยเพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่า และมีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ทางภาครัฐได้มีการวางแผนขยายและก่อสร้างสนามบินเพิ่มเติมเพื่อรองรับกับจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นดังกล่าวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว อย่างไรก็ดี การลงทุนสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐานในด้านอื่นๆ ก็ควรที่จะได้รับการสนับสนุนเช่นกัน อาทิ การพัฒนาระบบสาธารณูปโภค รวมถึงระบบการรักษาความปลอดภัยและป้องกันอุบัติเหตุให้แก่นักท่องเที่ยว และสำคัญที่สุดเพื่อให้ธุรกิจท่องเที่ยวเติบโตได้อย่างมีเสถียรภาพ ควรเพิ่มการลงทุนเชิงสถาปัตยกรรมให้รองรับนักท่องเที่ยวกลุ่มผู้สูงอายุซึ่งจะมีสัดส่วนสูงขึ้นในอนาคตอีกด้วย

2. ธุรกิจ ICT ปัจจุบันไทยมีการใช้งานด้านข้อมูลเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดผ่านสมาร์ทโฟนและอีคอมเมิร์ซ ประกอบกับระบบ National e-Payment และเทคโนโลยียุคใหม่ อย่าง Internet of Things (IoT) จะผลักดันให้ไทยเข้าสู่ "สังคมดิจิทัล" อย่างเต็มรูปแบบ อย่างไรก็ดี โครงสร้างพื้นฐานด้าน ICT ทั้งในด้านจำนวนคลื่นความถี่ ความครอบคลุมของอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์ และกฎหมายด้านดิจิทัลของไทยกลับยังตามหลังประเทศคู่แข่งในอาเซียนอย่างมาเลเซียและสิงคโปร์มาโดยตลอด ดังนั้น ไทยจึงควรเร่งปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานดังกล่าวเพื่อให้ประเทศสามารถพัฒนาธุรกิจนี้ได้อย่างเต็มที่

3. ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการเติบโตของ CLMV ขณะที่เศรษฐกิจโลกอยู่ในสภาวะชะลอตัว แต่กิจกรรมทางเศรษฐกิจระหว่างไทยและกลุ่มประเทศ CLMV (กัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม) กลับเติบโตอย่างสวนทางกัน สะท้อนจากมูลค่าการลงทุนและการค้าชายแดนที่ปรับเพิ่มขึ้นมากกว่า 2 เท่าในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ดังนั้น การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานคมนาคม ทั้งทางถนน ทางราง และทางอากาศเพื่อเชื่อมต่อกับกลุ่มประเทศดังกล่าวที่ทางภาครัฐกำลังดำเนินการอยู่ในขณะนี้ จะสร้างโอกาสให้กับธุรกิจขนส่งสินค้าและการเดินทางข้ามแดน รวมถึงภาคธุรกิจบริการต่างๆ โดยเฉพาะธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และค้าส่งค้าปลีก ซึ่งหากภาครัฐสามารถวางแผนพัฒนาพื้นที่รายรอบโครงการเหล่านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณจุดตัดระหว่างเส้นทางคมนาคมต่างๆ จะทำให้สามารถใช้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานเหล่านี้ได้อย่างเต็มศักยภาพ

"การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเพื่อภาคบริการจะมีส่วนสำคัญอย่างมากในการยกระดับขีดความสามารถของเศรษฐกิจไทยให้มีความพร้อม และก้าวเป็นผู้นำของธุรกิจบริการในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งอีไอซีเชื่อมั่นว่าเป็นแนวทางที่เหมาะสม อย่างไรก็ดี อนาคตของเศรษฐกิจไทยนั้นขึ้นอยู่กับการทำงานร่วมกันอย่างเข้าใจของภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อให้การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของเราในครั้งนี้เป็นกระสุนที่มีอานุภาพสูง ช่วยให้เศรษฐกิจไทยก้าวข้ามอุปสรรค ไปสู่อนาคตที่แข็งแกร่งกว่าปัจจุบันได้" นางสาวสุทธาภา กล่าวสรุป

ในส่วนของการเสวนา นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ ได้แถลงภาพรวมความคืบหน้าของโครงการโครงสร้างพื้นฐานคมนาคมไทยที่ภาครัฐกำลังเร่งรัด รวมถึงวิสัยทัศน์ในการพัฒนาธุรกิจที่จะได้รับอานิสงส์ตามมาจากโครงการเหล่านี้ ในด้านของ นายคีรี กาญจนพาสน์ได้ร่วมเล่าประสบการณ์ในการพัฒนาโครงการรถไฟฟ้าสายแรกของประเทศไทย รวมถึงมุมมองและโอกาสทางธุรกิจที่กำลังจะเกิดขึ้นจากโครงการในอนาคต และ นายวีระวงค์ จิตต์มิตรภาพ ได้กล่าวเสริมด้านการเตรียมตัวของภาคเอกชนและนักลงทุนตาม พ.ร.บ.การให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ (PPP) สำหรับโครงการเมกะโปรเจกต์ที่กำลังจะเกิดขึ้น

ฝากข่าวประชาสัมพันธ์?

ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit