การป้องกันและปราบปรามการทุจริตในระยะ 5 ปีข้างหน้า จะเป็นการปฏิรูปกระบวนการดำเนินงานจากเดิม ไปสู่กระบวนการทำงานแบบบูรณาการทั้งระบบ โดยเริ่มจากการวางรากฐานทางความคิดของประชาชนที่นอกจากตนเองจะไม่กระทำการทุจริตแล้ว จะต้องไม่อดทนต่อการทุจริตที่เกิดขึ้นในสังคมไทยอีกต่อไป คนไทยจะต้องก้าวข้ามค่านิยมอุปถัมภ์และความเพิกเฉยต่อการทุจริตประพฤติมิชอบ และแสดงเจตจำนง ทางการเมืองที่ต้องการสร้างชาติที่สะอาดปราศจากการทุจริต ในส่วนของการขับเคลื่อนนโยบายต้องมีความโปร่งใสตรวจสอบได้ทุกขั้นตอน ขณะเดียวกันกลไกการป้องกันและปราบปรามการทุจริตต้องได้รับความไว้วางใจ และความเชื่อมั่นจากประชาชนว่าสามารถปกป้องผลประโยชน์ของชาติและประชาชนได้อย่างรวดเร็ว เป็นธรรม และเท่าเทียม
ยุทธศาสตร์ชาติฯระยะที่ 3 มี 5 วัตถุประสงค์หลัก ดังนี้ 1.สังคมมีพฤติกรรมร่วมต้านการทุจริต ในวงกว้าง 2.เกิดวัฒนธรรมทางการเมือง (Political Culture) มุ่งต้านการทุจริตในทุกภาคส่วน 3.การทุจริต ถูกยับยั้งอย่างเท่าทันด้วยนวัตกรรม กลไกป้องกันการทุจริตและระบบบริหารจัดการตามหลักธรรมาภิบาล 4.การปราบปรามการทุจริตและการบังคับใช้กฎหมายมีความรวดเร็ว เป็นธรรมและได้รับความร่วมมือ จากประชาชน 5.ดัชนีการรับรู้การทุจริต (Corruption Perceptions Index: CPI) ของประเทศไทย มีค่าคะแนน ในระดับที่สูงขึ้น
ยุทธศาสตร์ชาติฯ ระยะที่ 3 มี ๖ ยุทธศาสตร์
1. สร้างสังคมที่ไม่ทนต่อการทุจริต
2. ยกระดับเจตจำนงทางการเมืองในการต่อต้านการทุจริต
3. สกัดกั้นการทุจริตเชิงนโยบาย
4. พัฒนาระบบป้องกันการทุจริตเชิงรุก
5. ปฏิรูปกลไกและกระบวนการการปราบปรามการทุจริต
6. ยกระดับดัชนีการรับรู้การทุจริตของประเทศไทย
ทั้งนี้ เพื่อลดปัญหาการทุจริต สามารถยกระดับมาตรฐานจริยธรรม คุณธรรม และความโปร่งใส ของประเทศไทยในทุกมิติให้มีมาตรฐานตามอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการทุจริต ค.ศ. 2003 (United Nations Convention against Corruption : UNCAC) ภายในปี พ.ศ. ๒๕๖4 เพื่อเป้าประสงค์ เชิงยุทธศาสตร์ในการเพิ่มระดับคะแนนของดัชนีการรับรู้การทุจริต (Corruption Perceptions Index: CPI) ไม่น้อยกว่าร้อยละ 50