"ธนาคารให้ความสำคัญกับการพัฒนาธุรกิจ Startup และ SMEs อย่างมาก เนื่องจากถือเป็นอีกหนึ่งเครื่องยนต์สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ โดยในปี 2559 GDP ของ SMEs ขยายตัว 4.8% และคิดเป็นสัดส่วนถึง42.1% ของ GDP ประเทศ (ข้อมูลจากสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.)) โดยกลุ่มธุรกิจStartup เป็นส่วนประกอบที่สำคัญมากต่อการเติบโตดังกล่าวและมั่นใจว่าจะยิ่งทวีความสำคัญมากขึ้นต่อการพัฒนาทางเศรษฐกิจประเทศในอนาคต ดังนั้น ความร่วมมือระหว่างธนาคารกรุงเทพ และมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ครั้งนี้ จะก่อให้เกิดการสนับสนุนและการพัฒนาของธุรกิจ Startup ในประเทศได้ดียิ่งขึ้น ทั้งในแง่ความรู้ทางวิชาการและความสามารถพัฒนาธุรกิจด้วย"
ภายใต้ความร่วมมือระหว่างกันในครั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายจะร่วมกันส่งเสริมและพัฒนาขีดความสามารถของธุรกิจ Startupของประเทศไทย ในส่วนที่ตนเองมีความเชี่ยวชาญ โดยที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ที่มีความเชี่ยวชาญทางวิชาการในทุกสาขาวิชาที่มีความจำเป็นต่อการดำเนินธุรกิจ ขณะที่ ธนาคารกรุงเทพมีประสบการณ์ด้านทางธุรกิจและร่วมสนับสนุนลูกค้า SMEs จนประสบความสำเร็จ ยกตัวอย่าง กลุ่มธุรกิจ Startup ด้านการเกษตรที่พัฒนาเครื่องมือเพื่อแก้ไขข้อจำกัดและลดความเสี่ยงต่างๆ เช่น เครื่องมือวัดสภาพน้ำและอากาศที่เชื่อมโยงกับแอปพลิเคชันในสมาร์ทโฟน ซึ่งช่วยป้องกันความเสี่ยงได้มากขึ้นและมีความแม่นยำสูง ขณะเดียวกันธนาคารก็สามารถเชื่อมโยงกับกลุ่มลูกค้าในโครงการเกษตรก้าวหน้าของธนาคารที่ดำเนินโครงการมากว่า 18 ปี การเชื่อมโยงเหล่านี้จะช่วยให้ธุรกิจ Startup ด้านการเกษตรสามารถก้าวหน้าไปได้เร็วยิ่งขึ้นด้วย
นายศิริเดช กล่าวอีกว่า ธนาคารกรุงเทพยังมีศักยภาพด้านเครือข่ายธุรกิจต่างๆ ทั้งธุรกิจ SME และธุรกิจขนาดใหญ่ ทำให้ธุรกิจ Startup สามารถเข้าถึงเครือข่ายธุรกิจอื่นๆ ที่สามารถเชื่อมโยงไปสู่ตลาดเป้าหมายได้ง่ายขึ้นและกว้างขวางขึ้นในระยะเวลาอันสั้น ขณะเดียวกัน กรณีที่ธุรกิจ Startup มีข้อจำกัดด้านเงินทุน ธนาคารก็สามารถให้คำปรึกษาด้านการวางแผนการบริหารเงินอย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนช่วยจัดหาแหล่งเงินทุนประเภทต่างๆ ที่เหมาะสมได้ เช่นVenture Capital เงินกู้รูปแบบต่างๆ นอกจากนี้ ธนาคารยังมีบริษัท Bualuang Ventures ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ ที่จะสามารถเข้าไปร่วมลงทุน หรือให้คำแนะนำ การสนับสนุน Startup ได้อีกทางหนึ่งด้วย
"โครงการนี้เป็นการประสานความร่วมมือและแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคการศึกษา โดยธุรกิจ Startup ที่ได้รับคัดเลือกเข้าร่วมโครงการ ทางมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์จะช่วยศึกษาวิเคราะห์ รวมถึงวางกรอบการพัฒนาในเบื้องต้นและกำหนดเป้าหมายการพัฒนาร่วมกับผู้ประกอบการ จากนั้นธนาคารจะเริ่มเข้ามามีส่วนร่วมในการช่วยวางกลยุทธ์ จัดทำแผนดำเนินงาน ตลอดจนให้คำปรึกษาด้านวางแผนการบริหารการเงิน และเชื่อมโยงกับตลาด ตลอดจนช่วยจัดหาแหล่งเงินทุนที่เหมาะสม โดยมีเป้าหมายสุดท้ายที่จะช่วยกันพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของเอกชนรายกลางและเล็กในด้านต่างๆ ทั้งด้านเทคโนโลยี กฎหมาย การตลาด การเงิน ระบบบัญชี และการจัดการอย่างเป็นระบบ" นายศิริเดชกล่าว
ด้าน ศาสตราจารย์ ดร.สมคิด เลิศไพฑูรย์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า การที่ประเทศไทยจะพัฒนาและก้าวไปสู่ "ไทยแลนด์ 4.0" อย่างเต็มรูปแบบได้ ต้องให้ความสำคัญกับการสร้างบริบทของประเทศ การสร้างระบบนิเวศทางเศรษฐกิจและนวัตกรรมเทคโนโลยีที่มีความพร้อมรองรับการเติบโตของธุรกิจสตาร์ทอัพ โดยจะต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายภาคส่วน อาทิ สถาบันการศึกษา สถาบันการเงิน ภาครัฐ ภาคเอกชน ฯลฯ ผ่านการใช้ความชำนาญเฉพาะทางของแต่ละส่วนเพื่อเอื้อต่อการเกิดธุรกิจที่มีนวัตกรรมเป็นหัวใจหลัก
"ล่าสุด มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี และศูนย์ให้คำปรึกษาและพัฒนาผู้บริหารทางธุรกิจแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (CONC) ได้ร่วมมือกับธนาคารกรุงเทพ เพื่อสนับสนุนธุรกิจสตาร์ทอัพ พัฒนานวัตกรรมจากความร่วมมือแลกเปลี่ยนในรูปแบบพี่ช่วยน้อง โดยมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์จะเป็นผู้ช่วยให้การสนับสนุนและคอยให้คำแนะนำในการวางแผนและต่อยอดธุรกิจ ด้วยการมีส่วนช่วยในการวางแผนกลยุทธ์ ปรับเปลี่ยนโมเดลธุรกิจให้มีนวัตกรรมเข้ามาผสมผสาน และมีส่วนร่วมในการเชื่อมโยงธุรกิจเอสเอ็มอีและสตาร์ทอัพ เข้ากับบริษัทต่างๆ ในห่วงโซ่มูลค่า ขณะที่ธนาคารกรุงเทพ ในฐานะผู้มีประสบการณ์ธุรกิจและมีศักยภาพด้านเครือข่ายธุรกิจที่แข็งแกร่ง ทั้งธุรกิจ SME และธุรกิจขนาดใหญ่ จะเป็น "พี่เลี้ยง" คอยให้การสนับสนุนและให้ข้อแนะนำที่ควรนำมาปรับใช้ รวมไปถึงการสร้างและประสานความร่วมมือกับธุรกิจที่เกี่ยวข้องในเครือข่ายของธนาคาร เพื่อให้ธุรกิจสตาร์ทอัพ สามารถต่อยอดและเติบโตได้จริงอย่างมั่นคงและยั่งยืน" ดร.สมคิด กล่าว
ทั้งนี้ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในฐานะสถาบันการศึกษาชั้นนำของประเทศที่มุ่งพัฒนาสังคมไทยผ่านการให้บริการวิชาการอันเข้มแข็งโดยเฉพาะองค์ความรู้ด้านการบริหารธุรกิจ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และวิทยาศาสตร์การแพทย์ ตั้งเป้าสู่การเป็น "มหานครแห่งสตาร์ทอัพ" หรือ "สตาร์ทอัพดิสทริก"(Startup District) และการก้าวสู่มหาวิทยาลัยผู้ประกอบการ (Entrepreneurial University) อย่างเป็นรูปธรรม เพื่อผลักดันการต่อยอดธุรกิจนวัตกรรมการจากวิจัย โดยยังมีงานวิจัยที่มีประสิทธิภาพในการต่อยอดธุรกิจ และรอการสนับสนุนอยู่อีกมากกว่า 100 ราย โดยพบว่าในแต่ละปี งานวิจัยของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ที่มีประสิทธิภาพในการต่อยอดธุรกิจคิดเป็นสัดส่วนกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ของงานวิจัยที่เกิดขึ้นทั้งหมด โดยภายในสิ้นปี 2560 นี้ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้ตั้งเป้าสร้างผู้ประกอบการสตาร์ทอัพนวัตกรรมเทคโนโลยีกว่า 50 ราย โดยมุ่งเน้นที่ 6 กลุ่มธุรกิจตอบโจทย์ยุทธศาสตร์ชาติ ดังต่อไปนี้ 1) กลุ่มเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ 2) กลุ่มสุขภาพและเทคโนโลยีทางการแพทย์ 3) กลุ่มหุ่นยนต์ 4) กลุ่มบริการ 5) กลุ่มดิจิทัล และ 6) กลุ่มพลังงานและสิ่งแวดล้อม
ยัสปาล กรุ๊ป ร่วมกับ คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มอบรางวัลกิจกรรม Jaspal Group Next Gen Creator 2025
เอสซีฯ ลงนาม MOU กับคณะสถาปัตฯ มธ. พัฒนางานวิชาการ-วิจัย-บุคลากร ยกระดับคุณภาพงานออกแบบและการพัฒนาเมืองสู่ความยั่งยืน
เริ่มแล้ว ! ค่ายอบรม Fact-Check Thailand 2026 เสริมพลังสังคมสู้ข่าวลวงรายงานข่าวเลือกตั้ง
สวทช. ร่วมกับพันธมิตรจัดงานประชุมนานาชาติ ASEANSafe 2025 แลกเปลี่ยนองค์ความรู้-ความปลอดภัยของอาหาร รับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ ร่วมกับ โนโว นอร์ดิสค์ ลงนาม MOU ขยายงานวิจัยทางคลินิก
มจธ.ควงและมธ. คว้ารางวัลนักเทคโนโลยีดีเด่น ประจำปี 2568ในงาน Outstanding Technologist Awards & TechInno Forum 2025
Liberator x ธรรมศาสตร์ จัด Workshop "Pitch หุ้นอย่างไร ให้โดนใจ" จุดไฟนักลงทุนรุ่นใหม่
"ธรรมศาสตร์" เปิดหลักสูตร TU ESG NEXT หวังสร้างผู้นำองค์กรเพื่อความยั่งยืน ตอบโจทย์เทรนด์อนาคตที่ท้าทายด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล
PERSES นำโชว์เพอร์ฟอร์แมนซ์เติมสีสันบนรันเวย์ centralwOrld Thailand Graduate Fashion Week 2025 ดัน Young Designer โชว์ผลงานสุดล้ำ