ทิศทาง NPL ที่เพิ่มขึ้นสอดคล้องกับกำลังซื้อที่หายไปในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งธุรกิจ SME เป็นกลุ่มหลักที่ยอดขายลดลง โดยพบว่า SME มีความสามารถในการทำกำไรหดตัวและบางส่วนประสบปัญหาสภาพคล่อง จากข้อมูลกรมพัฒนาธุรกิจ กระทรวงพาณิชย์ พบว่าในปี 2558 และ 2559 ธุรกิจ SME โดยเฉลี่ยมียอดขายหดตัวลงถึงร้อยละ 17 กำไรขั้นต้นลดลงร้อยละ 8 และใช้เวลาในการหมุนเงินสดนานขึ้นเป็น 41 วัน หรือเพิ่มขึ้น 1.5 เท่าจากปีปกติ ซึ่งสอดคล้องกับตัวเลขการก่อตัวขึ้นใหม่ของ NPL (NPL Formation) ซึ่งปรับตัวเพิ่มขึ้นมากถึง 1.5 เท่า หรือ 320พันล้านบาทในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับกำลังซื้อ ได้แก่ การขายส่งและขายปลีก รวมถึงธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับราคาสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น โรงสีข้าว ผู้ผลิตเหล็ก เป็นต้น ซึ่งตัวเลขการก่อตัวขึ้นใหม่นี้เทียบเท่ากับช่วงปี 2550 ก่อนที่ประเทศไทยจะเผชิญวิกฤตเศรษฐกิจแฮมเบอร์เกอร์ นอกจากนั้นแล้วสัดส่วน 2 ใน 3 ของ NPL เกิดจากบริษัทที่ไม่เคยเป็น NPL มาก่อน แตกต่างจากช่วงเศรษฐกิจขยายตัวดีซึ่งมีสัดส่วนอยู่เพียงครึ่งเดียวเท่านั้น
การที่ธุรกิจ SME ชะลอตัวส่งผลกระทบต่อภาคครัวเรือน จากโครงสร้างการจ้างงานในประเทศ พบว่าการจ้างงานในธุรกิจ SME และภาคเกษตรคิดเป็นสัดส่วนกว่าร้อยละ 87 ของการจ้างงานทั้งประเทศ การชะลอตัวธุรกิจย่อมทำให้ส่งผลกระทบต่อรายได้ทั้งผู้ประกอบการและลูกจ้างในวงกว้าง จึงเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้สัดส่วน NPL รายย่อยทยอยปรับตัวสูงขึ้น ได้แก่ สินเชื่อส่วนบุคคล บัตรเครดิตและสินเชื่อบ้าน รวม NPL มูลค่า 28 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าในรอบ 4 ปี โดยสินเชื่อบ้านพบว่า มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปลายปี 2559 NPL ก่อตัวเพิ่มขึ้น 1.5 เท่า มูลค่า 144 พันล้านบาท จากช่วงปี 2556-2557 ส่วนใหญ่เกิดจากกลุ่มที่เป็นเจ้าของธุรกิจ SME และผู้ที่ไม่มีรายได้ประจำ ซึ่งสอดคล้องกับรายได้ธุรกิจ SME ที่ชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง มีเพียงสินเชื่อรถยนต์ที่คุณภาพสินเชื่อทยอยปรับตัวดีขึ้น จากผลของนโยบายรถยนต์คันแรกที่ครบเงื่อนไขการถือครอง 5 ปีเมื่อปลายปีก่อน
TMB Analytics คาดการณ์ว่า ในไตรมาส 3 ปี 2560 นี้ สัดส่วน NPL จะแตะจุดสูงสุดที่ร้อยละ 3 ของสินเชื่อคงค้าง คิดเป็นมูลค่ากว่า 4.3 แสนล้านบาท โดยกว่าร้อยละ 80 ของNPL มาจากลูกค้า SME ในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการค้าขายและการเกษตรเป็นหลัก รวมไปถึงสินเชื่อรายย่อย นำโดยสินเชื่อบ้าน อย่างไรก็ดีในไตรมาส 4 นี้ NPL จะลดลงมาใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมาที่ร้อยละ 2.83 จากปัจจัยการจัดการของธนาคารพาณิชย์ซึ่งเร่งแก้ไขปัญหา NPL โดยการเจรจาปรับโครงสร้างหนี้ ขายหนี้เสียให้บริษัทบริหารสินทรัพย์ หรือตัดหนี้สูญทางบัญชี ซึ่งสะท้อนมาในอัตราการแก้ไขปัญหา NPL (NPL Resolution) ซึ่งจะมีปริมาณมากในช่วงไตรมาส 4 ของทุกปี เฉลี่ยกว่า 92พันล้านบาทต่อไตรมาสในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา
ในปี 2561 ด้วยมุมมองเศรษฐกิจที่เติบโตได้ร้อยละ 3.8 เป็นหนึ่งในเครื่องยนต์ที่ทำให้สินเชื่อกลับมาเติบโตด้วยคุณภาพที่ดีขึ้นอีกครั้งโดยเฉพาะในธุรกิจขนาดใหญ่ จากการที่สัญญาณการลงทุนกลับมาดีขึ้นจากภาคการส่งออกฟื้นตัวต่อเนื่อง ปัจจัยเหล่านี้มีส่วนช่วยผลักดันให้ NPL ของธุรกิจขนาดใหญ่ลดลงได้ ในส่วนของ SME และรายย่อย ยังต้องรอจังหวะการฟื้นตัวจากการบริโภคภาคเอกชน ด้วยปัจจัยราคาสินค้าเกษตรเป็นตัวแปรสำคัญ กอปรกับ มาตรการของธปท.ที่ออกมาควบคุมการก่อหนี้ใหม่ สำหรับบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล โดยจำกัดรายได้ขั้นต่ำ ซึ่งจะช่วยให้การก่อตัวของ NPL มีแนวโน้มลดลง
กรุงศรี รายงานกำไรสุทธิของปี 2563 จำนวน 23,040 ล้านบาท พร้อมเงินสำรองที่แข็งแกร่ง
ธอส. เดินหน้าพัฒนาคุณภาพสินทรัพย์ ขาย NPL มูลหนี้ 1,012 ล้านบาท ให้ BAM รับบริหาร
ธอส. เทขาย NPL มูลหนี้ 6,971 ล้านบาท BAM รับบริหารต่อพร้อมเร่งเจรจาลูกค้าปรับโครงสร้างหนี้
BAM รับบริหารต่อพร้อมเร่งเจรจาลูกค้าปรับโครงสร้างหนี้