ผลการดำเนินงานของธนาคารพาณิชย์ไทยสำหรับปี 2560 ถือได้ว่าอ่อนแอลง แต่ทั้งนี้ยังคงอยู่ในระดับใกล้เคียงกับการคาดการณ์ของฟิทช์ ภาคธนาคารพาณิชย์ยังคงเผชิญกับความเสี่ยงด้านคุณภาพสินทรัพย์ในปีที่ผ่านมาและปัจจัยดังกล่าวได้ส่งผลกระทบกับธนาคารบางแห่งในด้านการผิดนัดชำระหนี้ของลูกหนี้รายใหญ่ เช่นในกรณีของ บริษัท เอ็นเนอร์ยี่ เอิร์ธ จำกัด (มหาชน) นอกจากนี้กลุ่มลูกหนี้สินเชื่อธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ SME ยังคงมีอัตราส่วนการผิดนัดชำระหนี้ (delinquency) อยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูงต่อเนื่อง ดังนั้นสัดส่วนค่าใช้จ่ายการตั้งสำรองหนี้สูญฯ จึงปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็น 42% ของกำไรจากการดำเนินการก่อนการตั้งสำรองหนี้สูญฯ (pre-provision operating profit) เทียบกับ 37% ในปี 2559 และ 24.2% ในปี 2557 ด้วยค่าใช้จ่ายการตั้งสำรองหนี้สูญฯ ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นในขณะที่ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ (net interest margin) อยู่ในระดับทรงตัว ส่งผลให้อัตราส่วนกำไรสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (return on equity) เฉลี่ยของภาคธนาคารพาณิชย์ปรับตัวลดลงเป็น 10.3% จาก 11.9% ในปีก่อนหน้า
ฟิทช์เชื่อว่าความเสี่ยงด้านคุณภาพสินทรัพย์ของภาคธนาคารพาณิชย์ไทยน่าจะใกล้ที่จะผ่านพ้นช่วงที่แย่ที่สุดแล้ว (bottoming out) เนื่องจากปัจจัยเสี่ยงจากสภาพแวดล้อมในการดำเนินงานเริ่มมีการคลี่คลายลงบ้าง ทั้งนี้ฟิทช์คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะยังคงเติบโตต่อเนื่อง (GDP Growth) ในระดับเกือบ 4% แม้ว่าอัตราดังกล่าวอาจเป็นระดับที่ต่ำกว่าอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในอดีตและอาจเป็นอุปสรรคในการเติบโตสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์อยู่บ้าง แต่อย่างไรก็ตามอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจในระดับนี้น่าจะเพียงพอที่ช่วยให้อัตราการผิดนัดชำระหนี้ของลูกหนี้ธนาคารชะลอตัวลงและช่วยให้ธนาคารสามารถรักษาระดับรายได้ให้มีความเสถียรภาพต่อเนื่อง
ในขณะเดียวกันธนาคารพาณิชย์ไทยได้เพิ่มความระมัดระวังในการอนุมัติสินเชื่อ ซึ่งสะท้อนได้จากการชะลอตัวอย่างมากของอัตราการเติบโตของสินเชื่อในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา และน่าจะช่วยลดความเสี่ยงด้านคุณภาพสินเชื่อลงได้บ้าง จากผลการสำรวจภาวะและแนวโน้มการอนุมัติสินเชื่อที่จัดทำโดยธนาคารแห่งประเทศไทย พบว่าธนาคารส่วนใหญ่มีมาตราฐานการอนุมัติสินเชื่อที่เข้มงวดขึ้นและธนาคารต่างๆยังมีการใช้การค้ำประกันสินเชื่อสำหรับกลุ่มลูกค้า SME เพิ่มขึ้น ซึ่งน่าจะเป็นปัจจัยช่วยลดความเสี่ยงจากความผันผวนในภาคธุรกิจ SME
นอกจากนี้ความผันผวนในกลุ่มลูกหนี้รายย่อย (หรือลูกหนี้บุคคล) น่าจะเริ่มมีการปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้นบ้าง แต่ทั้งนี้ด้วยอัตราส่วนหนี้สินครัวเรือนที่ยังคงอยู่ในระดับสูง ดังนั้นกลุ่มลูกหนี้รายย่อยจึงยังคงเป็นความเสี่ยงที่สำคัญต่อภาคธนาคารพาณิชย์ แต่อย่างไรก็ตามการเติบโตของสินเชื่อรายย่อยได้ชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายไตรมาสที่ผ่านมา ซึ่งอย่างน้อยนับว่าเป็นสัญญาณที่ดี ทั้งนี้อัตราส่วนหนี้สินครัวเรือนต่อ GDP ปรับตัวขึ้นถึงจุดสูงสุดที่ระดับ 81% ในปี 2558 แต่ได้ปรับตัวลดลงมาในระดับ 78% ในไตรมาสที่ 3 ในปี 2560
อัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่เป็นส่วนของเจ้าของ (Core Equity Tier 1 ratios) ของธนาคารพาณิชย์ไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในปี 2560 แม้ต้องเผชิญแรงกดดันในด้านรายได้ยู่บ้าง และน่าจะช่วยให้ธนาคารสามารถรองรับความเสี่ยงจากผลกระทบของการปฏิบัติตามเกณฑ์มาตรฐานบัญชี IFRS 9 ที่จะมีผลบังคับใช้ใช้ในปี 2562 และรองรับความเสี่ยงจากภาวะการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจที่รุนแรงได้ นอกจากนี้ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ที่สุด 5 แห่งของประเทศไทยมีความพร้อมที่จะปฏิบัติตามเกณฑ์ของธนาคารแห่งประเทศไทยที่กำหนดให้สถาบันการเงินที่มีบทบาทสำคัญในระบบ (domestic systemically important banks) ต้องมีอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่เป็นส่วนของเจ้าของเพิ่มอีก 0.5% นอกเหนือจากเกณฑ์ปกติโดยเริ่มบังคับใช้เดือนมกราคม ปี 2562
                            กรุงศรี รายงานกำไรสุทธิของปี 2563 จำนวน 23,040 ล้านบาท  พร้อมเงินสำรองที่แข็งแกร่ง
                        
                            ธอส. เดินหน้าพัฒนาคุณภาพสินทรัพย์ ขาย NPL มูลหนี้ 1,012 ล้านบาท ให้ BAM รับบริหาร
                        
                            ธอส. เทขาย NPL มูลหนี้ 6,971 ล้านบาท  BAM รับบริหารต่อพร้อมเร่งเจรจาลูกค้าปรับโครงสร้างหนี้
                        
                            BAM รับบริหารต่อพร้อมเร่งเจรจาลูกค้าปรับโครงสร้างหนี้
                        
                            ภาพข่าว: ธอส. และ บสก. ร่วมลงนามสัญญาจำหน่ายสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ปี 2560