นายมนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโรงไฟฟ้ากลุ่มน้ำตาลบุรีรัมย์ (BRRGIF) จะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในวันที่ 7 สิงหาคม2560 ภายหลังจากที่เปิดเสนอขายแก่นักลงทุนทั่วไป ในช่วงระหว่างวันที่ 7-27 กรกฎาคมที่ผ่านมา ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากนักลงทุนทั่วไปและนักลงทุนสถาบัน สะท้อนให้เห็นว่า นักลงทุนมีความมั่นใจในศักยภาพการดำเนินธุรกิจของกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโรงไฟฟ้ากลุ่มน้ำตาลบุรีรัมย์ ที่สามารถสร้างรายได้อย่างมั่นคง เหมาะสมกับการลงทุนระยะยาว โดยมีผลตอบแทนที่สม่ำเสมอและสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก
ทั้งนี้ กองทุน BRRGIF มีนโยบายจ่ายเงินปันผลไม่น้อยกว่าปีละ 2 ครั้ง โดยการจ่ายเงินผู้ถือหน่วยนั้นได้แบ่งเป็น 2 ส่วน คือ เงินปันผลจากกำไรสุทธิของกองทุน และเงินจ่ายคืนจากการลดเงินลงทุนในรายได้สุทธิ (ลดทุน) ซึ่งผู้สอบบัญชีได้จัดทำประมาณการกำไรขาดทุนและการปันส่วนกำไรในรอบ 12 เดือน ประมาณการเงินปันผลของกองทุนไว้ที่ประมาณ 6.5% และเงินจ่ายคืนจากการลดทุนประมาณ 4.7% รวมเป็นเงินจ่ายให้แก่ผู้ถือหน่วยประมาณ 11.2% โดยเป็นการคำนวณจากขนาดกองทุนที่ 3,717 ล้านบาท (ขนาดกองทุนจากการระดมทุนจริงอยู่ที่ 3,605 ล้านบาท)
"การเข้าเทรดของ BRRGIF น่าจะได้รับผลตอบรับที่ดีจากนักลงทุน ด้วยพื้นฐานที่แข็งแกร่งและความมั่นคงของธุรกิจโรงไฟฟ้าชีวมวล ทั้งในด้านรายได้ และวัตถุดิบ ซึ่งโรงไฟฟ้าได้ป้องกันความเสี่ยงจากการทำสัญญากับโรงน้ำตาล (ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ บมจ.น้ำตาลบุรีรัมย์) ตลอดจนมีการเข้าทำสัญญาตกลงดำเนินการระหว่าง บมจ.น้ำตาลบุรีรัมย์ กับกองทุน ซึ่ง บมจ.น้ำตาลบุรีรัมย์ ตกลงจะดูแลการปฏิบัติหน้าที่ของบริษัทย่อยต่างๆ เพื่อให้โรงไฟฟ้ามีการดำเนินงานที่ราบรื่น ทำให้ผลตอบแทนมีความผันผวนต่ำ และมีความมั่นคงสูง ปันผลดี ได้รับยกเว้นภาษีหัก ณ ที่จ่าย 10 ปี จึงทำให้เชื่อมั่นว่า หน่วยลงทุนจะสามารถยืนเหนือราคาจองซื้อที่หน่วยละ 10.30 บาทได้" นายมนตรี กล่าว
นายอนันต์ ตั้งตรงเวชกิจ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท น้ำตาลบุรีรัมย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BRR แสดงความมั่นใจว่า นักลงทุนจะให้การตอบรับที่ดีสำหรับกองทุน BRRGIF เพราะเป็นกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโรงไฟฟ้าชีวมวลกองแรกที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ โดย BRRGIF จะเข้าลงทุนในสิทธิในรายได้สุทธิฯ ของโรงไฟฟ้าของ บริษัท บุรีรัมย์พลังงาน (BEC)และ บริษัท บุรีรัมย์เพาเวอร์ (BPC) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ BRR ที่มีการทำสัญญาขายไฟฟ้ากับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) เป็นระยะเวลาประมาณ 11 ปี และ 18 ปี (สิ้นสุด 10 ส.ค. 2571 และ 6 เม.ย. 2578) ตามลำดับ เช่นเดียวกับโรงไฟฟ้า (ที่กองทุนจะเข้าลงทุนในสิทธิในรายได้สุทธิฯ) ก็จะเข้าทำสัญญาขายไอน้ำ และสัญญาซื้อกากอ้อย ในระยะยาวกับโรงน้ำตาล โดยจะมีระยะเวลาสิ้นสุดสอดคล้องกับสัญญาของ กฟภ. ดังนั้น กองทุน BRRGIF จึงมีความมั่นคงทั้งทางด้านรายได้ ตลอดจนมีแหล่งเชื้อเพลิงชีวมวลมาสนับสนุนในระยะยาวครอบคลุมระยะเวลาลงทุนของกองทุน BRRGIF
"นักลงทุนสามารถคำนวณผลตอบแทนของกองทุน BRRGIF ได้ง่าย เนื่องจากเป็นธุรกิจไฟฟ้าที่มีความมั่นคง ซึ่งราคาเสนอขายสุดท้ายที่ 10.30 บาท (คิดเป็นขนาดกองทุน 3,605 ล้านบาท) ถือว่ามีความเป็นไปได้ที่จะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าประมาณการจึงเชื่อมั่นว่าจะยืนเหนือจองได้" นายอนันต์ กล่าว
อนึ่ง กองทุน BRRGIF มีขนาดกองทุนที่ 3,605 ล้านบาท ภายหลังจากที่ BRRGIF เสนอขายหน่วยลงทุนไอพีโอจำนวน 350ล้านหน่วย ในราคา 10.30 บาทต่อหน่วย โดยเงินที่ได้รับจากการระดมทุนครั้งนี้ จะนำไปลงทุนในสิทธิในรายได้สุทธิฯ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตจากการประกอบกิจการโรงไฟฟ้าชีวมวลของ BEC และ BPC นอกจากนี้ กองทุนมีนโยบายจ่ายเงินปันผลไม่น้อยกว่าปีละ 2 ครั้ง ในอัตราไม่น้อยกว่า 90% ของกำไรสุทธิ
BRRGIF เตรียมจ่ายปันผล 0.19199 บาท และเงินลดทุน 0.17 บาท วันที่ 18 มิ.ย. นี้
BRRGIF เตรียมจ่ายเงินปันผล 0.17094 บาท วันที่ 21 มี.ค. นี้
BRRGIF เตรียมจ่ายเงินลดทุนครั้งที่ 18 อัตรา 0.20 บาทต่อหน่วย วันที่ 17 ธ.ค. 2567
BRRGIF เตรียมจ่ายปันผล 0.13058 บาท และเงินลดทุน 0.14 บาท วันที่ 11 ก.ย. นี้
BRRGIF เผย 9 เดือนของปี 2566 กองทุนมีเงินสดสะสม 152 ล้านบาท
BRRGIF เตรียมจ่ายปันผล 0.05 บาท วันที่ 12 ก.ย. นี้
BRRGIF เตรียมจ่ายปันผล 0.17517 บาท และเงินลดทุน 0.10 บาท วันที่ 9 มิ.ย. นี้
BRRGIF เตรียมจ่ายเงินลดทุน 0.16 บาท วันที่ 22 มี.ค. 2566