แรงกดดันในด้านคุณภาพสินทรัพย์ยังคงมีต่อเนื่องสำหรับช่วงครึ่งปีแรกปี 2560 โดยอัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ต่อสินเชื่อรวมของธนาคารพาณิชย์ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 3.5% ณ เดือนธันวาคม 2559 เป็น 3.7% ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2560 ในขณะเดียวกันอัตราส่วนสำรองหนี้สงสัยจะสูญและหนี้สูญต่อสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ปรับตัวลดลงเช่นกัน แนวโน้มคุณภาพสินทรัพย์ดังกล่าวนี้ยังคงสอดคล้องกับแนวโน้มอุตสาหกรรมเป็นลบที่ฟิทช์คาดการณ์ไว้ก่อนหน้า
อัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ของกลุ่มลูกค้าสินเชื่อธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมยังคงอยู่ในระดับสูงและยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 4.5% ณ สิ้นไตรมาสที่ 1 ปี 2560 ซึ่งสะท้อนถึงการที่ธุรกิจขนาดเล็กมีความสามารถที่ด้อยกว่าในการรับมือกับความท้าทายจากภาวะเศรษฐกิจเมื่อเทียบกับธุรกิจขนาดใหญ่ นอกจากนี้ยังมีสัญญาณของการปรับตัวด้อยลงของคุณภาพสินทรัพย์กลุ่มสินเชื่อที่อยู่อาศัย โดยอัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 2.9% ณ สิ้นไตรมาส 4 ปี 2559 เป็น 3.2% ณ สิ้นไตรมาสที่ 1 ปี 2560 หนี้สินภาคครัวเรือนของไทยยังคงอยู่ในระดับที่สูงที่ประมาณ 80% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (หรือ GDP) และเป็นหนึ่งในปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญต่อภาคธนาคาร
สินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้น่าจะยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในช่วงครึ่งหลังของปี 2560 แต่มีความเป็นไปได้ที่จะเริ่มชะลอตัวลงในช่วงสิ้นปี ฟิทช์คาดว่าเศรษฐกิจจะเติบโตในอัตรา 3.4% ในปี 2560 แม้ว่าจะอยู่ในระดับที่ไม่สูงนักเมื่อเทียบกับเศรษฐกิจอื่นในภูมิภาค แต่ยังคงเป็นการปรับตัวที่ดีขึ้นบ้างเมื่อเทียบกันปี 2559 นอกจากนี้การเติบโตของสินเชื่อในช่วงครึ่งปีแรกปี 2560 ได้ชะลอตัวลงอย่างมาก โดยมีอัตราเติบโตเพียง 1.8% เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2559 ในขณะที่ธนาคารแห่งประเทศไทยมีแผนที่จะบังคับใช้เกณฑ์การอนุมัติสินเชื่อส่วนบุคคลที่ไม่มีหลักประกันที่เข้มงวดขึ้น แต่อย่างไรก็ตามการชะลอตัวของสินเชื่อในช่วงที่ผ่านมาน่าจะสะท้อนได้ว่าธนาคารพาณิชย์ได้มีการปรับเกณฑ์การอนุมัติสินเชื่อให้มีความระมัดระวังมากขึ้นมาแล้วในระดับหนึ่ง ทั้งนี้ปัจจัยดังกล่าวข้างต้นน่าจะช่วยลดทอนความเสี่ยงในด้านคุณภาพสินทรัพย์ได้บ้างในไตรมาสต่อๆ ไป
ค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญน่าจะยังคงทรงตัวอยู่ในระดับสูงและเป็นปัจจัยที่จะกดดันอัตรากำไรของธนาคาร อย่างไรก็ตามส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิที่ปรับตัวดีขึ้นในช่วงครึ่งปีแรกปี 2560 และการลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน เป็นปัจจัยที่ช่วยให้อัตราส่วนกำไรสุทธิต่อสินทรัพย์รวมของภาคธนาคารปรับตัวลงไม่มากนักจาก 1.34% ในช่วงครึ่งแรกปี 2559 เป็น 1.30%
ผลประกอบการและอัตรากำไรของภาคธนาคารน่าจะยังคงอยู่ในเกณฑ์ที่ดีและเพียงพอที่จะสนับสนุนเงินกองทุนของธนาคาร อัตราส่วนเงินกองทุนของธนาคารได้ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เนื่องจากกำไรสะสมที่เพิ่มขึ้น อีกทั้งอัตราส่วนเงินกองทุนของธนาคารยังคงอยู่ในระดับที่สูงกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำค่อนข้างมาก ทั้งนี้ธนาคารพาณิชย์ที่ได้รับการจัดอันดับเครดิตโดยฟิทช์มีฐานะเงินกองทุนที่สามารถผ่านเกณฑ์อัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 ขั้นต่ำที่ 8.5% ที่จะบังคับใช้ในปี 2562 (ซึ่งรวมเงินกองทุนส่วนเพิ่มเพื่อรองรับผลขาดทุนในภาวะวิกฤติ หรือ conservation buffer) แม้ว่าอัตราส่วนเงินกองทุนของธนาคารพาณิชย์อาจได้รับผลกระทบในเชิงลบบ้างจากการใช้มาตรฐานบัญชี IFRS 9 ที่คาดว่าจะเริ่มในปี 2562 เช่นกัน
กรุงศรี รายงานกำไรสุทธิของปี 2563 จำนวน 23,040 ล้านบาท พร้อมเงินสำรองที่แข็งแกร่ง
ธอส. เดินหน้าพัฒนาคุณภาพสินทรัพย์ ขาย NPL มูลหนี้ 1,012 ล้านบาท ให้ BAM รับบริหาร
ธอส. เทขาย NPL มูลหนี้ 6,971 ล้านบาท BAM รับบริหารต่อพร้อมเร่งเจรจาลูกค้าปรับโครงสร้างหนี้
BAM รับบริหารต่อพร้อมเร่งเจรจาลูกค้าปรับโครงสร้างหนี้
ภาพข่าว: ธอส. และ บสก. ร่วมลงนามสัญญาจำหน่ายสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ปี 2560