ร้อยละ 20 – 25 จากกรณีดำเนินการปกติ (Business As Usual) ภายในปี พ.ศ. 2573 เพื่อสอดรับกับความร่วมมือกับนานาประเทศในการควบคุมการเพิ่มขึ้นอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกให้ต่ำกว่า 2 องศาเซลเซียส
นางรวีวรรณ ภูริเดช เลขาธิการสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า "นับตั้งแต่ประเทศไทยเข้าร่วมเป็นรัฐภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ได้ขับเคลื่อนการดำเนินการด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศร่วมกับประชาคมโลกมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นการจัดส่งรายงานแห่งชาติ (NC) รายงานความก้าวหน้ารายสองปี (BUR) และได้มีการกำหนดเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศ ภายในปี พ.ศ. 2563 คือ การดำเนินงานลดก๊าซเรือนกระจกที่เหมาะสมของประเทศ (Nationally Appropriate Mitigation Action: NAMA) และล่าสุดได้มีการกำหนดการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด (NDC) โดยมีการกำหนดเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศ ที่ร้อยละ 20-25 จากกรณีดำเนินการปกติ ภายใน ปี พ.ศ. 2573 ดังนั้นเพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศที่กำหนดไว้ สผ. ได้จัดทำแผนที่นำทางการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศ ปี พ.ศ. 2564 – 2573 ใน 3 สาขาหลัก ที่มีความพร้อมและมีศักยภาพฅในการลดก๊าซเรือนกระจก ได้แก่ 1) สาขาพลังงานและขนส่ง
2) สาขากระบวนการทางอุตสาหกรรมและการใช้ผลิตภัณฑ์ และ 3) สาขาการจัดการของเสีย โดยแบ่งเป็นมาตรการในสาขาพลังงานและขนส่ง 9 มาตรการ มาตรการในสาขาการจัดการของเสีย 4 มาตรการ และมาตรการในสาขากระบวนการทางอุตสาหกรรมและการใช้ผลิตภัณฑ์ 2 มาตรการ รวมทั้งสิ้น 15 มาตรการ ซึ่งคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อแผนที่นำทางฯ แล้ว เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2560 ขณะนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อยู่ระหว่างดำเนินการจัดทำแผนปฏิบัติการลดก๊าซเรือนกระจกในแต่ละสาขา เพื่อบรรลุเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกที่ประเทศกำหนดไว้ และ สผ. อยู่ระหว่างจัดทำ (ร่าง) แผนปฏิบัติการสนับสนุนการดำเนินงานตามแผนที่นำทางการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศ เพื่อสนับสนุนการขับเคลื่อนการดำเนินงานของแผนปฏิบัติการรายสาขา โดยครอบคลุมข้อจำกัดและความต้องการสนับสนุน ซึ่งอยู่ระหว่างเตรียมนำเสนอต่อระดับนโยบายให้ความเห็นชอบต่อไป"
นางประเสริฐสุข จามรมาน ผู้อำนวยการองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก กล่าวว่า "เพื่อให้ประเทศไทยสามารถบรรลุเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกตาม แผนที่นำทางการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศ
ปี พ.ศ. 2564 – 2573 หรือ NDC Roadmap นั้น องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) เป็นอีกหนึ่งหน่วยงานหลักที่มีบทบาทและภารกิจโดยตรง ในการสนับสนุนการบรรลุเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกภายใต้ NDC Roadmap ดังนี้
- การพัฒนากลไกสนับสนุนการลดก๊าซเรือนกระจก อาทิเช่น โครงการ T-VER และ โครงการ LESS เป็นต้น
- การพัฒนาและสร้างเครือข่ายความร่วมมือกับภาคเอกชนและภาคประชาชนในการดำเนินกิจกรรมที่สนับสนุนการลดก๊าซเรือนกระจก เช่น การติดฉลากคาร์บอนฟุตพริ้นต์ การซื้อคาร์บอนเครดิตจากโครงการลดก๊าซเรือนกระจกในระดับท้องถิ่น
- การเป็นศูนย์กลางข้อมูลที่เกี่ยวกับสถานการณ์ดำเนินงานด้านก๊าซเรือนกระจก
- การพัฒนาศักยภาพและเผยแพร่องค์ความรู้ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยศูนย์วิชาการนานาชาติด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือ CITC
- ตลอดจน ภารกิจในการติดตามประเมินผลการลดก๊าซเรือนกระจกในระดับนโยบาย ร่วมกับ สผ. และหน่วยงานหลักที่เกี่ยวข้องอื่นๆ เช่น กฟผ. เป็นต้น"
นายกฎชยุตม์ บริบูรณ์จตุพร รองผู้ว่าการพัฒนาโรงไฟฟ้า การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย กล่าวว่า "กฟผ.ในฐานะเป็นหน่วยงานที่อยู่ภายใต้กระทรวงพลังงานรับผิดชอบตามมาตรการด้านการผลิตไฟฟ้า รวมทั้งสนับสนุนมาตรการผลิตไฟฟ้าจาก พลังงานทดแทน มาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานในครัวเรือน และอื่นๆที่มีศักยภาพในการดำเนินงานตามแผนที่นำทางการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศ และส่งผลต่อการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศถึง 43 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ดังนั้นสาขาพลังงานเป็นส่วนสำคัญในการช่วยลดก๊าซเรือนกระจกให้ได้ตามเป้าหมายของ แผนที่นำทางการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศ ปี พ.ศ. 2564 – 2573 โดยมีการดำเนินการ คือ เน้นการเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานทดแทน และส่งเสริมการเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตไฟฟ้า รวมทั้งพัฒนาโครงข่าย (Smart Grids) ให้ครอบคลุมและเชื่อมโยงอย่างเป็นระบบ เป็นต้น"
ทั้งนี้ จะเห็นได้ว่าการขับเคลื่อนการลดก๊าซเรือนกระจกให้เกิดผลต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนไม่ว่าจะเป็นภาครัฐหรือภาคเอกชน โดยเริ่มต้นจากการสร้างความรู้ ความเข้าใจ และสร้างความตระหนักของประชาชนต่อปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การเตรียมความพร้อมด้านการรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ตลอดจนการมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่จะนำไปสู่วีถีการดำเนินชีวิตแบบคาร์บอนต่ำ โดยควรมีการจัดทำแผน/ยุทธศาสตร์การดำเนินงานที่เกี่ยวข้อง ควบคู่ไปกับการออกแบบโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ที่เอื้ออำนวยต่อการดำเนินชีวิตของประชาชนในแบบวิถีคาร์บอนต่ำ อาทิ อาคารอนุรักษ์พลังงาน ระบบเชื่อมต่อขนส่งมวลชน การงดการใช้ถุงพลาสติก หรือการช่วยกันปลูกต้นไม้ เป็นต้น
ข้อมูลเกี่ยวกับการดำเนินงานลดก๊าซเรือนกระจกที่เหมาะสมของประเทศ (Nationally Appropriate Mitigation Action: NAMA)
ในการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (United Nations Framework Convention on Climate Change: UNFCCC) ครั้งที่ 16 ได้มีข้อตัดสินใจที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานลดก๊าซเรือนกระจกที่เหมาะสมของประเทศ (Nationally Appropriate Mitigation Actions: NAMAs) โดยเชื้อเชิญให้ประเทศกำลังพัฒนาแสดงเจตจำนงการดำเนินงานลดก๊าซเรือนกระจกที่เหมาะสมของประเทศโดยความสมัครใจมายังสำนักเลขาธิการอนุสัญญาฯ เพื่อแสดงถึงความตั้งใจที่จะดำเนินงานลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศ โดยประเทศไทยได้แสดงเจตจำนงการดำเนินงานลดก๊าซเรือนกระจกที่เหมาะสมของประเทศ (NAMA) บนพื้นฐานการดำเนินการโดยสมัครใจ โดยระบุว่า "ประเทศไทยจะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในประเทศ ร้อยละ 7 ถึง 20 ในภาคพลังงานและภาคการขนส่งให้ต่ำกว่าระดับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในการดำเนินงานตามปกติ (Business as usual: BAU) ในปี พ.ศ. 2563 (ค.ศ. 2020) โดยระดับการดำเนินงานนั้นจะขึ้นกับระดับการได้รับการสนับสนุนจากต่างประเทศในด้านการพัฒนาและถ่ายทอดเทคโนโลยี การเงิน และการเสริมสร้างศักยภาพ"
ข้อมูลเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด (Nationally Determined Contribution: NDC) ในการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ครั้งที่ 19 ได้มีข้อตัดสินใจในการเชิญชวนภาคี ทั้งประเทศพัฒนาแล้วและประเทศกำลังพัฒนา เตรียมการเกี่ยวกับการเสนอ Intended Nationally Determined Contributions (INDC) ซึ่งเป็นการแสดงข้อเสนอการมีส่วนร่วมของประเทศในการลดก๊าซเรือนกระจกและการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ภายหลังปี พ.ศ. 2563 (ค.ศ. 2020) เพื่อเป็นพื้นฐานสำหรับการดำเนินงานในความตกลงปารีส โดยประเทศไทยได้จัดส่ง INDC ไปยังสำนักเลขาธิการ UNFCCC เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2558 โดยระบุว่า "ประเทศไทยมีความตั้งใจที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกร้อยละ 20 จากระดับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในกรณีปกติ ภายในปี พ.ศ. 2573 (ค.ศ. 2030) ระดับของการมีส่วนร่วมในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสามารถเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 25 ขึ้นอยู่กับการเข้าถึงกลไกการสนับสนุนทางการพัฒนาและถ่ายทอดเทคโนโลยี การเงิน และการเสริมสร้างศักยภาพที่เพิ่มขึ้นและเพียงพอ" รวมทั้งได้ระบุความตั้งใจในการมีส่วนร่วมด้านการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วย ซึ่งเมื่อความตกลงปารีสมีผลใช้บังคับแล้ว เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2559 แต่ละภาคีต้องจัดทำ แจ้ง และจัดให้มีการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด (Nationally Determined Contributions: NDCs) อย่างต่อเนื่อง โดยแจ้งทุกๆ 5 ปี ซึ่งจะแสดงถึงความก้าวหน้าที่เพิ่มขึ้น และสะท้อนให้เห็นถึงความพยายามที่เป็นไปได้สูงสุด ตามหลักความรับผิดชอบร่วมกันในระดับที่แตกต่างโดยคำนึงถึงขีดความสามารถของแต่ละประเทศ (common but differentiated responsibilities and respective capabilities, in the light of different national circumstances) "Intended Nationally Determined Contribution: INDC" จึงถูกเปลี่ยนเป็น "Nationally Determined Contribution: NDC" ในการแสดงถึงการมีส่วนร่วมของประเทศในการลดก๊าซเรือนกระจกและการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ภายหลังปี ค.ศ. 2020
บริษัท ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) สาขาตรัง ได้รับการรับรองเป็น "องค์กรผู้นำด้านการจัดการก๊าซเรือนกระจก (CALO)"
บริษัท ศรีตรัง รับเบอร์ แอนด์ แพลนเทชั่น จำกัด คว้ารางวัล "โครงการคาร์บอนเครดิตยอดเยี่ยมภาคเกษตร" ตอกย้ำความมุ่งมั่นสู่เกษตรกรรมยั่งยืน
แม่กระทิงเพาเวอร์ จำกัด คว้ารางวัลโครงการรับรองคาร์บอนเครดิต ปี 2568 ตอกย้ำความมุ่งมั่นสู่สังคมคาร์บอนต่ำ
"เจียไต๋" รับมอบประกาศนียบัตรฉลากคาร์บอน ตอกย้ำผู้นำนวัตกรรมเกษตรเพื่อความยั่งยืน
'เวฟ บีซีจี' ควง 'พีทีจี' รับรางวัล 'Premium T-VER Award' จาก อบก. ตอกย้ำความมุ่งมั่นผู้นำและพัฒนา สร้างคาร์บอนเครดิตระดับสากล
PTG คว้ารางวัล Premium T-VER Award
บางปะอิน โคเจนเนอเรชั่น โรงไฟฟ้าในเครือ CKPower รับประกาศนียบัตรฉลากคาร์บอนฟุตพริ้นต์
DEXON รับมอบฉลากคาร์บอนฟุตพริ้นท์องค์กร จากTGO ตอกย้ำความมุ่งมั่นสู่ Net Zero
อีมิแน้นท์แอร์ คว้า 2 มาตรฐานใหญ่ด้านสิ่งแวดล้อม ตอกย้ำผู้นำแอร์ไทยรักษ์โลก