SCN รุกซื้อกิจการโรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ใหญ่สุดในอาเซียนที่ประเทศเมียนมาร์ ขนาดกำลังการผลิตไฟฟ้า 220 MW คาดเฟสแรก เริ่ม COD จำนวน 50 MW ภายในต้นปี 62 พร้อมตุน Backlog เกือบ 1,000 ล้านบาท ทยอยรับรู้รายได้ในปีนี้

14 May 2018
SCN รุกซื้อกิจการโรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ใหญ่สุดในอาเซียนที่ประเทศเมียนมาร์ ขนาดกำลังการผลิตไฟฟ้า 220 MW คาดเฟสแรก เริ่ม COD จำนวน 50 MW ภายในต้นปี 62 พร้อมตุน Backlog เกือบ 1,000 ล้านบาท ทยอยรับรู้รายได้ในปีนี้ ขณะที่โชว์ไตรมาส 1/61 ทำกำไรสุทธิ 61.96 ล้านบาท เติบโตแบบก้าวกระโดด
SCN รุกซื้อกิจการโรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ใหญ่สุดในอาเซียนที่ประเทศเมียนมาร์ ขนาดกำลังการผลิตไฟฟ้า 220 MW คาดเฟสแรก เริ่ม COD จำนวน 50 MW ภายในต้นปี 62 พร้อมตุน Backlog เกือบ 1,000 ล้านบาท ทยอยรับรู้รายได้ในปีนี้

'บมจ. สแกน อินเตอร์' หรือ SCN ซื้อกิจการ GEP Thailand ในสัดส่วนร้อยละ 30 รุกเข้าดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ขนาดกำลังผลิตไฟฟ้า 220 MW ในประเทศเมียนมาร์ ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคอาเซียน คาดเฟสแรกเริ่ม COD จำนวน 50 MW ได้ภายในต้นปี 2562 แถมตุนมูลค่างานในมือBacklog เกือบ 1,000 ล้านบาท รับรู้รายได้ในปีนี้ ส่วนผลการดำเนินงานไตรมาสแรกปีนี้ ทำกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 30.22% เติบโตแบบก้าวกระโดด รับธุรกิจ iCNG, ธุรกิจขนส่งก๊าซให้ ปตท. และโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ หนุนรายได้กลุ่มธุรกิจ Recurring Income พุ่ง

ดร.ฤทธี กิจพิพิธ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท สแกน อินเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCN ผู้ประกอบธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับก๊าซธรรมชาติแบบครบวงจร เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้เซ็นสัญญาเข้าซื้อกิจการ บริษัท พลังงานเพื่อโลกสีเขียว (ประเทศไทย) จำกัด หรือ GEP Thailand เข้าซื้อถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 30 ของทุนจดทะเบียน โดยใช้เงินลงทุนประมาณ 1,234.88 ล้านบาท เพื่อเข้าร่วมดำเนินโครงการพัฒนาและก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ขนาดกำลังผลิตไฟฟ้า 220 เมกะวัตต์ ที่เมืองมินบู ประเทศเมียนมาร์ ซึ่งเป็นโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ขนาดใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มูลค่าโครงการมากกว่า 10,000 ล้านบาท ที่แบ่งการพัฒนาออกเป็น 4 เฟส คาดก่อสร้างแล้วเสร็จและเริ่มจำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) จำนวน 50 เมกะวัตต์ในเฟสแรกได้ภายในต้นปี 2562 โดยประเมินว่าโครงการนี้จะมีผลตอบแทนจากการลงทุน (IRR) ไม่ต่ำกว่า 10%

การเข้าลงทุนในครั้งนี้ ถือเป็นนโยบายการดำเนินงานที่ SCN มุ่งสร้างความเข้มแข็งให้แก่กลุ่มธุรกิจที่สร้างรายได้อย่างสม่ำเสมอ (Recurring Income) ให้เติบโตได้อย่างยั่งยืน โดยโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์เป็นหนึ่งในธุรกิจเป้าหมาย ที่บริษัทฯ ต้องการเข้าไปขยายการลงทุนในรูปแบบของการร่วมพัฒนาและดำเนินการก่อสร้าง (Green Field) ซึ่งการลงทุนในโครงการดังกล่าว จะทำให้ SCN ก้าวสู่การเป็นผู้ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดหนึ่งในรายที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ส่วนแผนดำเนินงานในปีนี้ บริษัทฯ จะผลักดันการเติบโตของกลุ่มธุรกิจ Recurring Income อย่างต่อเนื่อง โดยประเมินว่า ธุรกิจก๊าซธรรมชาติอัดสำหรับโรงงานอุตสาหกรรม หรือ iCNG จะทำยอดขายเติบโตได้อย่างต่อเนื่องจากการขยายฐานลูกค้าใหม่ๆ ในกลุ่มโรงงานอุตสาหกรรมที่ต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติในภาคการผลิต รวมถึงการเปิดสถานีก๊าซธรรมชาติ NGV สำหรับยานยนต์ให้ครบทั้ง 13 แห่งภายในปีนี้จากปัจจุบันที่มีอยู่ 7 แห่ง โดยคาดว่าจะทำยอดขายเฉลี่ย 400,000 กิโลกรัมต่อวัน รวมถึงมีรายได้จากการจำหน่ายน้ำมันภายใต้แบรนด์ 'บางจาก' และพื้นที่ค้าปลีกจำนวน 3 สถานี เข้ามาเพิ่มเติมอีกด้วย

ขณะที่ความคืบหน้าการผลิตและจำหน่ายถังคอมโพสิตบรรจุก๊าซธรรมชาติอัดภายใช้ชื่อ N4 ซึ่งได้รับรางวัลนวัตกรรมแห่งชาติ ที่บริษัทฯ มอบหมายให้ บริษัทโซจิทสึ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ซึ่งเป็นผู้ประกอบธุรกิจเทรดเดอร์รายใหญ่จากประเทศญี่ปุ่น เป็นผู้จัดจำหน่ายให้นั้น คาดเริ่มส่งออกไปยังประเทศอินโดนีเซียและเวียดนามได้ภายในปีนี้ โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างการทดลองถัง N4 มาใช้บรรจุก๊าซธรรมชาติอัดขนส่งไปยังโรงงานอุตสาหกรรม เพื่อทดสอบประสิทธิภาพก่อนเริ่มต้นการผลิตเพื่อจำหน่าย ซึ่งจากการนำถังN4 มาใช้ในธุรกิจ iCNG ครั้งนี้สามารถช่วยลดต้นทุนขนส่งและเพิ่มศักยภาพการดำเนินธุรกิจได้เป็นอย่างมาก

ส่วนกลุ่มธุรกิจ EPC หรือ ธุรกิจออกแบบ ผลิต ติตตั้ง ซึ่งเป็นธุรกิจหลักที่อยู่ในกลุ่ม Non-Recurring Income นั้น บริษัทฯ คาดว่าจะมีมูลค่างานในมือที่รอรับรู้รายได้Backlog เกือบ 1,000 ล้านบาท แบ่งเป็นมูลค่างานในปัจจุบัน 425 ล้านบาท และงานใหม่ที่จะช่วยเพิ่ม Backlog อีก 400 ล้านบาท ซึ่งจะรับรู้รายได้ในปีนี้ ล่าสุด SCN ยังได้ลงนามเข้าไปดำเนินโครงการวางระบบสถานีปรับปรุงคุณภาพก๊าซชีวภาพ (Plant Upgrade CBG) รวมทั้งก่อสร้างสถานีอัดจ่ายก๊าซชีวภาพสำหรับยานยนต์ให้แก่ บริษัท อาร์อี ไบโอฟูเอลส์ จำกัด ซึ่งส่งผลดีต่อการรับรู้รายได้จากกลุ่มธุรกิจนี้มากขึ้น

จากแผนดำเนินงานในปีนี้จะทำให้บริษัทฯ เติบโตได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ 30-40% โดยการเติบโตดังกล่าว ไม่นับรวมรายได้จากการดำเนินโครงการรถเมล์ NGV ที่เตรียมส่งมอบรถเมล์ส่วนที่เหลือให้แก่ ขสมก.อีก 389 คัน หากศาลปกครองมีคำสั่งยกเลิกคุ้มครองชั่วคราว ซึ่งบริษัทฯ จะรับรู้รายได้จากการดำเนินโครงการนี้ตามสัดส่วนการถือหุ้นในกลุ่มร่วมทำงาน SCN-CHO ทันที รวมถึงยังรับรู้รายได้จากการซ่อมบำรุงรถเมล์ NGV ของ ขสมก. เป็นระยะเวลา 10 ปีอีกด้วย

กรรมการผู้จัดการใหญ่ SCN กล่าวว่า ส่วนผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/61 บริษัทฯ มีรายได้รวม 774 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีรายได้รวม 673.21 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 61.96 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30.22% เทียบกับงวดเดียวกันของปีที่ผ่านมา ที่มีกำไรสุทธิ 47.58 ล้านบาท ซึ่งมีปัจจัยจากกลุ่มธุรกิจ Recurring Income ขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง โดยธุรกิจ iCNG ทำรายได้เติบโตอย่างก้าวกระโดดถึง 54.05% ขณะที่ธุรกิจสถานีบริการก๊าซธรรมชาติหลักโดยเอกชน (PMS) และธุรกิจขนส่งก๊าซ NGV ให้แก่ ปตท. ก็มีอัตราการเติบโตได้ดีเช่นกัน

ส่วนธุรกิจสถานีก๊าซธรรมชาติ NGV สำหรับยานยนต์ แม้ในไตรมาสแรกปีนี้ยังไม่มีการเปิดสถานีให้บริการเพิ่มเติม แต่มีการปรับสถานีให้บริการบางแห่งให้สามารถจำหน่ายน้ำมัน ภายใต้แบรนด์ 'บางจาก' รวมถึงเพิ่มพื้นที่ค้าปลีกภายในสถานี ทำให้มีรายได้จากการจำหน่ายน้ำมันและธุรกิจอื่นที่นอกเหนือจากการจำหน่ายเชื้อเพลิงเข้ามาเพิ่มเติม ขณะที่ธุรกิจพลังงานหมุนเวียนจากโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ก็สามารถรับรู้รายได้การจำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ ขนาด 6.12 เมกวัตต์จากโรงไฟฟ้าทั้ง 2 แห่งได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังบันทึกรายได้จากการส่งมอบรถเมล์ NGV ให้แก่ ขสมก. จำนวน 100 คันแรก ตามสัดส่วนการถือหุ้นในกลุ่มร่วมทำงาน SCN-CHO จึงช่วยสนับสนุนผลการดำเนินงานในไตรมาสนี้เติบโตตามแผน