พีดับเบิ้ลยูซี เผยรายงานเกือบ 1 ใน 3 ของผู้บริโภคทั่วโลกจ่อใช้อุปกรณ์เอไอภายในครัวเรือน

ข่าวประชาสัมพันธ์ »

          - พบความต้องการในการใช้อุปกรณ์เอไอภายในครัวเรือนสูงที่สุดในกลุ่มผู้บริโภคจากเอเชียและกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่
          - การซื้อหาสินค้าจากร้านค้าแบบดั้งเดิมยังคงเพิ่มสูง
          - ผู้บริโภคส่วนใหญ่ยังวางแผนที่จะคงสัดส่วนการใช้จ่ายหรือเพิ่มขึ้นในปีนี้

          PwC เผยผลสำรวจพบ เกือบ 1 ใน 3 ของผู้บริโภคทั่วโลก มีแผนที่จะซื้ออุปกรณ์ประเภทปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) เช่น หุ่นยนต์ หรือ ผู้ช่วยอัจฉริยะ มาไว้ใช้ประจำบ้านเพิ่มขึ้น ขณะที่ธุรกิจค้าปลีกกำลังจับตาเทรนด์ของการซื้อสินค้าและบริการผ่านการใช้คำสั่งเสียง หรือ วอยซ์ คอมเมิร์ซ (Voice commerce) อย่างใกล้ชิด พร้อมระบุ ไทย ติดอันดับ 5 ประเทศที่มีผู้บริโภคเป็นเจ้าของและมีแผนซื้ออุปกรณ์เอไอมากที่สุดในขณะนี้
          นางสาว วิไลพร ทวีลาภพันทอง หุ้นส่วนสายงานที่ปรึกษา บริษัท PwC ประเทศไทย เปิดเผยถึงผลสำรวจ Global Consumer Insights ของ PwC ที่ทำการประเมินพฤติกรรมในการใช้จ่าย และความคาดหวังของผู้บริโภคจำนวนมากกว่า 22,000 คนใน 27 ประเทศทั่วโลกว่า 32% ของผู้ที่ตอบแบบสำรวจทั้งหมด มีแผนที่จะซื้ออุปกรณ์เอไอ เช่น หุ่นยนต์ หรือ ผู้ช่วยอัจฉริยะ มาไว้ใช้ในอนาคต
          รายงานยังระบุอีกว่า 10% ของผู้ตอบแบบสำรวจ ปัจจุบันเป็นเจ้าของอุปกรณ์เอไอ ไม่ว่าจะเป็น หุ่นยนต์ หรือ ผู้ช่วยอัจฉริยะ อย่าง อเมซอน เอคโค่ หรือ กูเกิล โฮม เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และอีก 32% มีแผนที่จะซื้ออุปกรณ์เหล่านี้ในอนาคต ซึ่งทั้งผู้บริโภค และร้านค้าปลีกเอง ยังคงต้องใช้เวลาในการปรับรูปแบบสินค้าและบริการ รวมทั้งพฤติกรรมในการใช้จ่าย จากช่องทางการชอปปิงผ่านการใช้คำสั่งเสียง
          ทั้งนี้ ความสนใจในการครอบครองอุปกรณ์เอไอพบมากที่สุดในกลุ่มผู้บริโภคจากกลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ เช่น สาธารณรัฐประชาชนจีน เวียดนาม อินโดนีเซีย และ ไทย เปรียบเทียบกับประเทศที่พัฒนาแล้วที่มีความต้องการโดยรวมน้อยกว่า ยกตัวอย่าง เช่น ผู้บริโภคในบราซิล และ จีน มีแนวโน้มที่จะซื้ออุปกรณ์เอไอสูงเป็น 2 เท่า (59% และ 52% ตามลำดับ) เทียบกับผู้บริโภคชาวอเมริกัน (25%) สหราชอาณาจักร (24%) และ ฝรั่งเศส (25%) ส่วนผู้บริโภคในอิตาลี และโปแลนด์ราว 40% ก็มีความสนใจที่จะซื้ออุปกรณ์เอไอเช่นกัน
          นอกจากนี้ ยังพบว่า ผู้บริโภคที่มีการใช้อุปกรณ์เหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นเพศชาย อายุระหว่าง 18 ถึง 34 ปี และเปิดรับการบริโภคในรูปแบบใหม่ โดยไม่ค่อยกังวลในเรื่องความเสี่ยงด้านความปลอดภัยออนไลน์ การโฉ้โกง และไม่ค่อยสนใจเรื่องราคาเท่าไหร่
          นาย จอห์น แม็กเวล หัวหน้าสายงานตลาดผู้บริโภค ของ PwC โกลบอล กล่าวว่า
          "เอไอได้เข้ามามีอิทธิพลอย่างรวดเร็วต่อตัวผู้บริโภคและธุรกิจค้าปลีก โดยพฤติกรรมของผู้บริโภคในวันนี้เปลี่ยนไปมาก เช่น เมื่อไหร่ก็ตามที่พวกเขาต้องการอะไร ก็สามารถสั่งซื้อได้ทันที ไม่ต้องเก็บไปคิดก่อนตัดสินใจไปซื้อที่ร้าน และคาดว่า ภายในอีก 2 ถึง 3 ปีข้างหน้า เอไอจะเข้ามาปฏิวัติรูปแบบการเก็บข้อมูล การจัดแบ่งประเภทสินค้า รวมถึงรูปแบบการให้บริการลูกค้าของร้านค้าปลีกด้วย"
          ชอปปิงผ่านมือถือและร้านค้าดั้งเดิมยังโต
          นอกเหนือจากความนิยมในการใช้เอไอที่เพิ่มมากขึ้นแล้ว การซื้อสินค้าผ่านโทรศัพท์มือถือ หรือ อุปกรณ์ไร้สายต่างๆ ยังคงได้รับความสนใจจากผู้บริโภคทั่วโลกมากขึ้นด้วยเช่นกัน เห็นได้จากกำลังซื้อผ่านอุปกรณ์ไร้สายที่เพิ่มขึ้นมากกว่า 2 เท่าตัวภายในระยะเวลา 6 ปีหรือ 17% ของการชอปปิงทั้งหมด และคาดว่าในที่สุด จะแซงหน้าการชอปปิงผ่านคอมพิวเตอร์ (20%) ซึ่งปัจจุบันคิดเป็นเพียง 1 ใน 5 ของการจับจ่ายที่เกิดขึ้น โดยสาเหตุสำคัญมาจาก ความสะดวกสบาย ซึ่งถือเป็นปัจจัยหลักที่ผลักดันให้กำลังซื้อออนไลน์เติบโต โดยครึ่งหนึ่งของผู้ตอบแบบสำรวจใช้สมาร์ทโฟนในการชำระสินค้า มากกว่าการซื้อของที่ร้านค้า
          ในยุคที่ธุรกิจอีคอมเมิร์ชครองตลาดการชอปปิง เห็นได้จากผลสำรวจที่ระบุว่า 59% ของผู้บริโภคมีการจับจ่ายสินค้ากับร้านค้าปลีกออนไลน์ นี่ยังได้ส่งผลกระทบต่อความคาดหวังในการจัดส่งสินค้าของผู้บริโภคด้วย ซึ่ง 41% ของผู้ตอบแบบสำรวจบอกว่า ตนพร้อมที่จะจ่ายมากขึ้น เพื่อให้ได้รับสินค้าภายในวันเดียวกัน หรือเร็วกว่านั้น และ 44% ยอมจ่ายเพื่อให้สามารถเลือกเวลาที่เฉพาะเจาะจงในการรับสินค้า ขณะที่ 38% สนใจวิธีการรับสินค้าด้วยโดรน
          แต่แม้ว่าร้านค้าออนไลน์ขนาดใหญ่จะครองตลาดอยู่ในขณะนี้ ร้านค้าแบบดั้งเดิมก็ยังคงมีแนวโน้มเติบโต โดยจำนวนของผู้ตอบแบบสำรวจ ที่ซื้อหาสินค้ากับร้านค้าดังเดิมอยู่เป็นประจำทุกสัปดาห์ ยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นปีที่ 4 ในปีนี้จาก 3% เป็น 44%
          นาย แม็กเวล กล่าวต่อว่า "ร้านค้าดั้งเดิมยังอาจได้เปรียบจากพฤติกรรมการซื้อสินค้าที่หน้าร้านมากขึ้นด้วย หลังพฤติกรรมการชอปปิงหันมาเน้นในเรื่องของการได้รับประสบการณ์ที่ดี มากกว่าการซื้อของทั่วๆ ไป"
          "พนักงานขายที่มีประสบการณ์ และสามารถนำเสนอสินค้าได้ตรงตามไลฟ์สไตล์ของลูกค้า เช่น คลาสออกกำลังกาย หรือ การได้เห็นสินค้าจริง ช่วยทำให้ร้านค้าสรรหาสินค้าที่ตรงกับความต้องการของนักช้อปได้มากขึ้น โดยปัจจุบันหน้าร้านมีลักษณะของการเป็นโชว์รูมแสดงสินค้ามากกว่า ร้านค้าธรรมดาๆ"
          ทั้งนี้ เครือข่ายสังคมออนไลน์ ยังคงมีอิทธิพลต่อการสร้างแรงบันดาลใจในการซื้อสินค้าของผู้บริโภคมากที่สุดทั้งทางออนไลน์และหน้าร้าน แม้ว่าเปอร์เซ็นต์จะปรับตัวลดลงเล็กน้อย (จาก 39% เป็น 37%) โดยเครือข่ายสังคมออนไลน์มีอิทธิพลสูงที่สุดต่อผู้บริโภคในกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง (70%) อินโดนีเซีย (58%) มาเลเซีย (58%) และจีน (52%)
          ในส่วนของความเป็นส่วนตัวของข้อมูล (Data Privacy) ผลสำรวจได้สะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายในการเก็บข้อมูลลูกค้าของผู้ประกอบการค้าปลีก โดยในมุมหนึ่งพบว่า 41% ของผู้บริโภคไม่มีปัญหากับการที่ร้านค้าติดตามพฤติกรรมการซื้อสินค้าของตน เพื่อให้สามารถนำเสนอข้อเสนอพิเศษได้ตรงจุด แต่ในทางกลับกัน มากกว่า 1 ใน 3 ของผู้บริโภค หรือ 37% ก็ต้องการปกป้องความเป็นส่วนตัว และไม่ต้องการให้ร้านค้าติดตาม หรือส่งข้อเสนอใดๆ ให้
          อย่างไรก็ดี ผลสำรวจของ PwC ยังพบว่า ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคโดยรวมยังคงเติบโต แม้จะมีปัจจัยเรื่องความกังวลในการใช้จ่ายและบรรยากาศการลงทุนที่ซบเซา ผู้บริโภคทั่วโลกส่วนใหญ่ยังคงวางแผนการใช้จ่ายในระดับเท่าเดิม หรือมากขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา โดย 38% ยังคงมีแผนที่จะใช้จ่ายเท่ากับปีที่แล้ว และ 37% วางแผนการใช้จ่ายมากขึ้น
          นางสาว วิไลพร กล่าวสรุปว่า "เป็นที่น่าสนใจว่า ปัจจุบันผู้บริโภคในแถบเอเชีย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้บริโภคชาวไทย ก็นิยมการชอปปิงผ่านอุปกรณ์เอไอเป็นจำนวนมาก โดยผลสำรวจพบว่า ไทยติดอันดับ 5 ของประเทศที่ผู้บริโภคเป็นเจ้าของและมีแผนจะซื้ออุปกรณ์เอไอมาไว้ครอบครองมากที่สุด โดยจีนนำมาเป็นอันดับที่ 1 ตามด้วย เวียดนาม อินโดนีเซีย และ สหรัฐอเมริกา นี่ยังสะท้อนให้เห็นว่า พฤติกรรมของผู้บริโภคชาวไทย ก็เน้นความสะดวกสบาย และต้องการช่องทางในการจับจ่ายสินค้าที่หลากหลาย รวมทั้งได้รับประสบการณ์ที่ดีในการเลือกซื้อสินค้าไม่แพ้ผู้บริโภคประเทศอื่นๆ เมื่อเป็นเช่นนี้ ผู้ประกอบการค้าปลีกไทย ก็ต้องเร่งปรับกลยุทธ์ในการจำหน่ายสินค้า โดยนำเทคโนโลยีเข้ามาประยุกต์ใช้ในการเพิ่มช่องทางการขาย รวมทั้งสร้างประสบการณ์ในการซื้อสินค้าที่แปลกใหม่ให้กับลูกค้า ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจและกำลังซื้อที่ยังชะลอตัวในปัจจุบัน"
พีดับเบิ้ลยูซี เผยรายงานเกือบ 1 ใน 3 ของผู้บริโภคทั่วโลกจ่อใช้อุปกรณ์เอไอภายในครัวเรือน
พีดับเบิ้ลยูซี เผยรายงานเกือบ 1 ใน 3 ของผู้บริโภคทั่วโลกจ่อใช้อุปกรณ์เอไอภายในครัวเรือน
 
 
 

ข่าวพีดับเบิ้ลยูซี+ธุรกิจค้าปลีกวันนี้

แร็กแท็ก (RAGTAG) ช็อปสินค้าแฟชั่นลักชัวรี่มือสองจากญี่ปุ่น เปิดตัวสาขาแรกในไทยอย่างเป็นทางการที่ One Bangkok

แร็กแท็ก (RAGTAG) เป็นช็อปสินค้าแฟชั่นแบรนด์เนมและลักชัวรี่มือสอง ที่มุ่งเน้นอยากให้ทุกคนสามารถเข้าถึงสินค้าแฟชั่นแบรนด์เนม ซึ่งเปิดดำเนินการจนประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง โดยเปิดสาขาแรกปี 2528 ในย่านฮาราจูกุ โตเกียว ปัจจุบันมีการขยายช็อปต่างๆออกไปถึง 24 แห่งทั่วประเทศญี่ปุ่น ภายใต้การบริหารงานของบริษัท ทินแพนแอลลี่ (Tin Pan Alley CO. LTD) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของเวิลด์กรุ๊ป ผู้นำในธุรกิจค้าปลีกเสื้อผ้าแฟชั่นของญี่ปุ่น สหกรุ๊ป นำโดย บริษัท ไอ.ซี.ซี. อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน)ได้ร่วมทุนกับ

คิง เพาเวอร์ ผู้นำธุรกิจค้าปลีกเพื่อการท่... รวมดีลเด็ด คิง เพาเวอร์ กับ มหกรรมเซลกลางปีสุดยิ่งใหญ่ — คิง เพาเวอร์ ผู้นำธุรกิจค้าปลีกเพื่อการท่องเที่ยว เอาใจสายช้อปพร้อมเสิร์ฟดีลเด็ดให้ทั้งคนไทยและนั...

ซ่อมแซมบ้าน และเครื่องใช้ไฟฟ้า กระตุ้นกำล... ไทวัสดุ "บิ๊กเซล บิ๊กโบนัส แจกจุใจกว่า 5 ล้านบาท" รันวงการ! สินค้าตกแต่ง — ซ่อมแซมบ้าน และเครื่องใช้ไฟฟ้า กระตุ้นกำลังซื้อครึ่งปีหลัง คืนกำไรลูกค้า แจกราง...

"ประตูสู่ความร่วมมือ เพื่อการยกระดับและโซ... สมาร์ท รีเทล เอ็กซ์โป 2026 (Smart Retail Expo 2026) วันที่ 28-29-30 มกราคม 2569 ณ ไบเทคบางนา ฮอลล์ 100 — "ประตูสู่ความร่วมมือ เพื่อการยกระดับและโซลูชั่นที...

รายงานล่าสุดของ "พีดับเบิ้ลยูซี" เผยผู้นำ... บริหารความเสี่ยงด้านนวัตกรรมอย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยหนุนการเติบโตขององค์กร — รายงานล่าสุดของ "พีดับเบิ้ลยูซี" เผยผู้นำความเสี่ยงทั่วโลกกำลังรับมือกับความท้...