ฟิทช์คงอันดับเครดิต และจัดอันดับเครดิตภายในประเทศหุ้นกู้ชุดใหม่ของ บมจ. ปูนซิเมนต์ไทย ที่ระดับ 'A+(tha)’

26 Jul 2018
บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศคงอันดับเครดิตภายในประเทศ (National Rating) ระยะยาว และอันดับเครดิตภายในประเทศของหุ้นกู้ไม่มีหลักประกันและไม่ด้อยสิทธิ ของ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC ที่ 'A+(tha)' แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ

ในขณะเดียวกัน ฟิทช์ประกาศจัดอันดับเครดิตภายในประเทศ (National Rating) ระยะยาวของหุ้นกู้ไม่มีหลักประกันและไม่ด้อยสิทธิชุดใหม่ ของ SCC มูลค่ารวมไม่เกิน 1.0 หมื่นล้านบาท ครบกำหนดไถ่ถอนปี พ.ศ. 2565 ที่ 'A+(tha)' โดยเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ครั้งนี้จะนำไปใช้สำหรับชำระคืนหุ้นกู้ที่ครบกำหนด หุ้นกู้ดังกล่าวได้รับการจัดอันดับเครดิตในระดับเดียวกันกับอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวของ SCC เนื่องจากมีสถานะเท่าเทียมกับหนี้ไม่มีหลักประกันและไม่ด้อยสิทธิของ SCC รายละเอียดของอันดับเครดิตทั้งหมดของ SCC อยู่ในส่วนสุดท้ายของรายงานนี้

ปัจจัยที่มีผลต่ออันดับเครดิต

อัตราส่วนหนี้สินจะเพิ่มขึ้นแต่ยังอยู่ในระดับที่คาด – ฟิทช์คาดว่าอัตราส่วนหนี้สินสุทธิที่ปรับปรุงแล้วต่อกระแสเงินสดจากการดำเนินงานก่อนการเปลี่ยนแปลงของเงินทุนหมุนเวียน (FFO adjusted net leverage) จะเพิ่มขึ้นไปอยู่ในระดับ 2.0-3.0 เท่า ในช่วงสามปีข้างหน้า จากปัจจุบันที่อยู่ในระดับต่ำที่ 1.9 เท่า ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2561 อัตราส่วนหนี้สินที่สูงขึ้นเป็นผลมาจากแผนการลงทุนขนาดใหญ่ ซึ่งฟิทช์ยังคาดว่าบริษัทฯ จะสามารถรักษาอัตราส่วนหนี้สินดังกล่าวไว้ในระดับไม่เกิน 3.0 เท่า ซึ่งเป็นระดับที่อาจกระทบต่ออันดับเครดิตในทางลบ บริษัทฯ มีการปรับแผนการลงทุนในส่วนที่ยังไม่ได้ตัดสินใจ (uncommitted plan) เพื่อคงแผนการใช้เงินลงทุนในระดับ 2.5-2.6 แสนล้านบาท ในช่วงห้าปีข้างหน้า แทนที่จะเพิ่มขึ้นหลังจากที่บริษัทฯ เข้าซื้อหุ้นสัดส่วนส่วนที่เหลือร้อยละ 29 ในโครงการปิโตรเคมีในประเทศเวียดนาม (Long Son Petrochemicals Project หรือ LSP) จาก Vietnam Oil and Gas Group (PetroVietnam) และลงทุนขยายกำลังการผลิตโอเลฟินส์ของบริษัท มาบตาพุดโอเลฟินส์ จำกัด (MOC)

ค่าใช้จ่ายลงทุนที่อยู่ในระดับสูง – ฟิทช์คาดว่าค่าใช้จ่ายลงทุนของ SCC จะเพิ่มขึ้นเป็น 5 หมื่นถึง 7.5 หมื่นล้านบาทต่อปี ในช่วงสามปีข้างหน้า จากเดิมที่ต่ำกว่า 4 หมื่นล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2559-2560 โดยโครงการ LSP และ MOC คิดเป็นประมาณร้อยละ 70-75 ของแผนการใช้จ่ายลงทุนทั้งหมดในช่วงห้าปีข้างหน้า ถึงแม้ว่าฟิทช์จะมองว่า SCC มีความยืดหยุ่นระดับหนึ่งในการปรับเปลี่ยนแผนการลงทุนส่วนที่เป็น uncommitted plan การใช้จ่ายลงทุนที่สูงขึ้นเกินกว่าที่ฟิทช์คาดไว้อย่างมีนัยสำคัญ อาจมีผลกระทบทางลบต่ออันดับเครดิตได้

การกระจายความเสี่ยงในธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างที่ดีขึ้น – รายได้จากธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างที่เกิดจากการดำเนินการผลิตในภูมิภาคอาเซียน (ไม่รวมประเทศไทย) ในปี 2560 มีสัดส่วนอยู่ที่ประมาณร้อยละ 21 ของรายได้จากธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างทั้งหมด จากเดิมร้อยละ 14 ในปี 2557 ฟิทช์คาดว่าสัดส่วนดังกล่าวจะเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 25-30 ในช่วงสามถึงห้าปีข้างหน้า การขยายโรงงานปูนซีเมนต์ในภูมิภาคอาเซียนเสร็จสมบูรณ์แล้วเมื่อไตรมาส 1 ของปี 2560 ซึ่งทำให้ SCC มีกำลังการผลิตปูนซีเมนต์นอกประเทศไทยรวม 10.5 ล้านตันต่อปี หรือคิดเป็นประมาณร้อยละ 31 ของกำลังการผลิตรวมของบริษัทฯ อย่างไรก็ตาม ฟิทช์คาดว่าการแข่งขันในตลาดปูนซีเมนต์ในภูมิภาคจะทวีความรุนแรงขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นในหลายประเทศ ซึ่งน่าจะสร้างแรงกดดันต่ออัตราส่วนกำไรของผู้ประกอบการในช่วงสองปีข้างหน้า

การกระจายความเสี่ยงในธุรกิจที่หลากหลาย – อันดับเครดิตของ SCC ยังได้รับการสนับสนุนจากการที่บริษัทฯ มีแหล่งที่มาของรายได้จากธุรกิจหลักที่หลากหลาย ได้แก่ ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง ธุรกิจเคมีภัณฑ์ และธุรกิจบรรจุภัณฑ์ ซึ่งมีส่วนช่วยให้กระแสเงินสดของบริษัทฯ มีความสม่ำเสมอมากขึ้น รวมถึงการลดความเสี่ยงเฉพาะที่อาจเกิดขึ้นในอุตสาหกรรมใดอุตสาหกรรมหนึ่ง โดยในช่วงปี 2554-2555 ความต้องการใช้ปูนซีเมนต์ในตลาดภายในประเทศที่แข็งแรงได้ช่วยชดเชยวงจรธุรกิจขาลงของธุรกิจปิโตรเคมี ในขณะที่วงจรธุรกิจขาขึ้นของธุรกิจเคมีภัณฑ์ในช่วง 3 ปีที่ผ่านสามารถชดเชยความต้องการใช้ปูนซีเมนต์ในระดับภายในประเทศที่อ่อนแอ

สถานะความเป็นผู้นำตลาด – SCC เป็นหนึ่งในกลุ่มบริษัทที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย อันดับเครดิตของ SCC ได้รับการสนับสนุนจากสถานะความเป็นผู้นำตลาดในธุรกิจหลักของบริษัทฯ โดย SCC มีกำลังการผลิตและส่วนแบ่งการตลาดที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยและบางประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สำหรับกลุ่มสินค้าปูนซีเมนต์ กระเบื้องเซรามิก เคมีภัณฑ์ขั้นปลาย (โพลีโอเลฟินส์และพีวีซี) และกระดาษบรรจุภัณฑ์ ฟิทช์คาดว่า SCC จะสามารถรักษากำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ได้ที่ระดับ 6.5-7.5 หมื่นล้านบาทต่อปี และมีอัตราส่วนกำไรดังกล่าวต่อรายได้ (EBITDA Margin) ที่ระดับร้อยละ 14-15 ในปี 2561-2562 โดยกำไรส่วนใหญ่ของ SCC ในปี 2561 น่าจะยังคงมาจากธุรกิจเคมีภัณฑ์ เนื่องจากธุรกิจปูนซีเมนต์น่าจะมีการฟื้นตัวที่ค่อนข้างช้า

ความผันผวนของธุรกิจ – อันดับเครดิตยังพิจารณารวมถึงการที่ SCC ต้องเผชิญกับความผันผวนของธุรกิจเคมีภัณฑ์ ทั้งนี้ SCC มีอำนาจในการกำหนดราคาที่จำกัด เนื่องจากสินค้าหลักส่วนใหญ่เป็นสินค้าโภคภัณฑ์ ซึ่งถูกกำหนดราคาโดยอุปสงค์และอุปทานในตลาดโลก

การกำหนดอันดับเครดิตโดยสรุป

SCC มีสถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาบริษัทในกลุ่มอุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้างในประเทศไทยที่จัดอันดับเครดิตโดยฟิทช์ ซึ่งได้แก่ บริษัท ปูนซีเมนต์นครหลวง จำกัด (มหาชน) (SCCC, 'A(tha)'/แนวโน้มเครดิตเป็นลบ) และบริษัท ทิปโก้แอสฟัลท์ จำกัด (มหาชน) (TASCO, 'A-(tha)'/แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ) โดย SCCC และ TASCO ประกอบธุรกิจหลักเพียงอย่างเดียว และ SCCC มีส่วนแบ่งทางการตลาดในประเทศต่ำกว่าบริษัทฯ SCC มีอันดับเครดิตที่สูงกว่าทั้งสองบริษัท ซึ่งสะท้อนถึงขนาดธุรกิจที่ใหญ่กว่ามาก และมีการกระจายความเสี่ยงในหลากหลายธุรกิจ เมื่อเปรียบเทียบกับ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) (PTTGC, อันดับเครดิต 'AA(tha)' แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ, อันดับเครดิตโดยลำพัง 'AA-(tha)') ซึ่งเป็นผู้ประกอบการธุรกิจปิโตรเคมีและโรงกลั่นน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย SCC มีขนาดธุรกิจเคมีภัณฑ์ที่เล็กกว่า แต่ดำเนินธุรกิจที่หลากหลายกว่า ซึ่งทำให้ SCC มีความเสี่ยงต่อความผันผวนของอุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์น้อยกว่า อย่างไรก็ตาม PTTGC มีอัตราส่วนหนี้สินที่ต่ำกว่า จึงมีอันดับเครดิตที่สูงกว่า

สมมุติฐานที่สำคัญ

สมมุติฐานที่สำคัญของฟิทช์ที่ใช้ในการประมาณการ

  • รายได้เติบโตในอัตราร้อยละ 4 ต่อปี ในปี 2561 โดยมาจากธุรกิจเคมีภัณฑ์เป็นหลัก และร้อยละ 7 ต่อปี ในปี 2562 โดยมาจากธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง และธุรกิจเคมีภัณฑ์เป็นหลัก
  • EBITDA Margin ลดลงมาอยู่ที่ระดับร้อยละ 14-15 ในปี 2561-2562
  • ค่าใช้จ่ายเพื่อการลงทุน 5-7.5 หมื่นล้านบาทต่อปี ในปี 2561-2562
  • อัตราการจ่ายเงินปันผลต่อกำไรสุทธิ (Dividend Payout) ที่ระดับร้อยละ 40-50 ในปี 2561-2562

ปัจจัยที่อาจมีผลกับอันดับเครดิตในอนาคต

ปัจจัยบวก:

  • ฟิทช์ไม่คาดว่าจะมีการปรับเพิ่มอันดับเครดิต นอกเสียจากว่าจะมีกำไรเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากการขยายธุรกิจเคมีภัณฑ์ในต่างประเทศ ยกตัวอย่างเช่น การเปิดดำเนินการอย่างเต็มรูปแบบของโครงการ LSP ในประเทศเวียดนาม

ปัจจัยลบ:

  • สถานะทางธุรกิจและการเงินของบริษัทฯ ที่อ่อนแอลง ซึ่งส่งผลให้อัตราส่วนหนี้สินสุทธิที่ปรับปรุงแล้วต่อกระแสเงินสดจากการดำเนินงานก่อนการเปลี่ยนแปลงของเงินทุนหมุนเวียน (FFO adjusted net leverage) อยู่ในระดับสูงกว่า 2 เท่า อย่างต่อเนื่อง ในช่วงที่ดำเนินธุรกิจปกติโดยไม่มีการลงทุน หรือสูงกว่าระดับ 3 เท่า ในช่วงที่มีการลงทุนขยายธุรกิจ

สภาพคล่อง

สภาพคล่องอยู่ในเกณฑ์ที่สามารถบริหารจัดการได้: สภาพคล่องของ SCC ได้รับการสนับสนุนจากเงินสดและเงินลงทุนเทียบเท่าเงินสด (ตามการปรับปรุงตัวเลขโดยฟิทช์) จำนวนประมาณ 6.1 หมื่นล้านบาท ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2561 กระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่แข็งแกร่งกว่า 5.5 หมื่นล้านบาทต่อปี และความสามารถในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน ผ่านตลาดทุนและตลาดตราสารหนี้ในประเทศ รวมถึงสินเชื่อจากสถาบันการเงิน ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2561 บริษัทฯ มีหนี้ทั้งหมดจำนวน 2.0 แสนล้านบาท โดยร้อยละ 90 เป็นหุ้นกู้ไม่มีหลักประกันและไม่ด้อยสิทธิ สกุลเงินบาท และโดยประมาณร้อยละ 29 ของหนี้ทั้งหมดจะถึงกำหนดชำระในช่วง 12 เดือนข้างหน้า

รายละเอียดของอันดับเครดิตของ SCC ทั้งหมด มีดังนี้

-- คงอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาว (National Long-term Rating) ที่ 'A+(tha)'; แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ

-- คงอันดับเครดิตภายในประเทศระยะสั้น (National Short-term Rating) ที่ 'F1(tha)'

-- คงอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวของหุ้นกู้ไม่มีหลักประกันและไม่ด้อยสิทธิ ที่ 'A+(tha)'

-- จัดอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวของหุ้นกู้ไม่มีหลักประกันและไม่ด้อยสิทธิชุดใหม่ มูลค่ารวมไม่เกิน 1.0 หมื่นล้านบาท ที่ 'A+(tha)'