ฟิทช์ประกาศอันดับเครดิตหุ้นกู้ บมจ. ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ ที่ 'A(tha)'

ข่าวประชาสัมพันธ์ »

บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาว (National Long Term Rating) สำหรับหุ้นกู้ไม่มีหลักประกันและไม่ด้อยสิทธิชุดใหม่ มูลค่าไม่เกิน 5 พันล้านบาท ของ บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM (ซึ่งมีอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวที่ 'A(tha)' แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ) ที่ระดับ 'A(tha)'

เงินที่ได้รับจากการออกหุ้นกู้ครั้งนี้จะถูกนำไปใช้สำหรับการชำระคืนหนี้เดิม ค่าใช้จ่ายเพื่อการลงทุนและเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ

เหตุผล

หุ้นกู้ดังกล่าวมีสถานะเป็นภาระผูกพันโดยตรง เท่าเทียมกันกับหนี้ที่ไม่มีหลักประกันและไม่ด้อยสิทธิของ BEM และได้รับการจัดอันดับเครดิตในระดับเดียวกันกับอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวของ BEM

อันดับเครดิตของ BEM สะท้อนถึงความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ของโครงข่ายทางด่วนและรถไฟฟ้าของบริษัทฯ ซึ่งทำหน้าที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมที่เชื่อมต่อระหว่างศูนย์กลางย่านธุรกิจหลักของกรุงเทพฯ กับพื้นที่เศรษฐกิจและที่อยู่อาศัยชานเมืองที่กำลังขยายตัว BEM ยังได้รับประโยชน์จากความหลากหลายของสินทรัพย์ที่มีทั้งทางด่วนและรถไฟฟ้า ฟิทช์คาดว่าธุรกิจรถไฟฟ้าจะเป็นตัวขับเคลื่อนการเติบโตของกำไร ในขณะที่ธุรกิจทางด่วนซึ่งมีความแน่นอนมากกว่าจะสร้างกำไรที่สม่ำเสมอ อย่างไรก็ตาม ฟิทช์มองว่าการดำเนินงานรถไฟฟ้ามีความซับซ้อนมากกว่าทางด่วน ส่งผลให้ภาพรวมความเสี่ยงของ BEM อยู่ในระดับปานกลาง อันดับเครดิตของ BEM ยังได้รับแรงสนับสนุนจากอายุสัมปทานของสินทรัพย์ที่เหลืออยู่เป็นระยะเวลานาน

ปัจจัยดังกล่าวถูกลดทอนด้วยความเสี่ยงจากการพัฒนาโครงการ ความเสี่ยงจากการเติบโตของปริมาณผู้ใช้บริการในช่วงเริ่มต้นของโครงการ และฟิทช์คาดการณ์ว่าอัตราส่วนหนี้สินจะปรับตัวเพิ่มขึ้นชั่วคราวระหว่างปี 2571 ถึง 2575 เนื่องจาก BEM มีการลงทุนในโครงการใหม่ (Greenfield Projects) อันดับเครดิตยังสะท้อนสถานะทางการเงินในระดับปานกลางของ BEM ในระยะกลางถึงระยะยาว โดยอัตราส่วนหนี้สินจะอ่อนแอลงชั่วคราวในช่วงที่มีการลงทุนที่สูงในโครงการใหม่ อย่างไรก็ตาม ฟิทช์เชื่อว่าการลงทุนดังกล่าวมีความสำคัญอย่างยิ่งในการผลักดันการเติบโตที่แข็งแกร่งในระยะยาวของปริมาณจราจรและจำนวนผู้โดยสาร โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจและการพัฒนาเชิงพาณิชย์และที่อยู่อาศัยที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง

การขยายโครงข่ายระบบขนส่งมวลชนในกรุงเทพฯ อย่างต่อเนื่อง จะช่วยเพิ่มจำนวนผู้โดยสาร ตามจุดเชื่อมต่อกับเส้นทางรถไฟฟ้าของ BEM ซึ่งจะสนับสนุนแนวโน้มการเติบโตของการดำเนินงานของธุรกิจรถไฟฟ้า

ปัจจัยที่มีผลต่ออันดับเครดิต

ความเสี่ยงด้านรายได้ - ปริมาณผู้ใช้บริการ: ระดับกลางค่อนข้างสูง

BEM มีสินทรัพย์ภายใต้สัญญาสัมปทานที่มีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ในกรุงเทพฯ ทั้งทางด่วนและรถไฟฟ้า และมีประวัติการดำเนินงานมาเป็นระยะเวลานาน ซึ่งได้รับประโยชน์จากอุปสรรคในการเข้าสู่ตลาดที่สูง จำนวนคู่แข่งที่จำกัด และมีฐานผู้ใช้บริการที่เดินทางอย่างสม่ำเสมอรองรับ อีกทั้งยังได้รับแรงหนุนจากแนวโน้มการขยายตัวของเมือง อย่างไรก็ตาม การประเมินของฟิทช์ได้สะท้อนผลกระทบจากการชะลอตัวของการเดินทางเพื่อการท่องเที่ยว และการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้ใช้ทางด่วน โดยเฉพาะจากการเติบโตของการทำงานทางไกล ส่งผลให้ปริมาณจราจรของธุรกิจทางด่วนยังอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19

ฟิทช์เชื่อว่าการเติบโตของจำนวนผู้โดยสารในระยะยาว และการเติบโตของรายได้จากโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง จะอยู่ในอัตราที่ต่ำกว่าที่ BEM คาดการณ์ อย่างไรก็ตาม โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงจะยังสร้างกระแสเงินสดที่มั่นคง เนื่องจากรายได้มาจากสัญญาการให้บริการเดินรถไฟฟ้าและซ่อมบำรุง (O&M) แบบต้นทุนบวกกำไร (Cost-plus) กับการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ซึ่งทำให้ไม่มีความเสี่ยงด้านปริมาณผู้โดยสาร ฟิทช์คาดว่ารายได้จากธุรกิจพัฒนาเชิงพาณิชย์ เช่น รายได้ค่าเช่าพื้นที่ค้าปลีกและโฆษณา จะเพิ่มขึ้นสอดคล้องกับการเติบโตของจำนวนผู้โดยสาร

ความเสี่ยงด้านรายได้ - ราคา: ระดับกลาง

สัญญาสัมปทานของธุรกิจรถไฟฟ้าอนุญาตให้มีการปรับขึ้นค่าโดยสารตามอัตราเงินเฟ้อ โดยมีการปรับทุกๆ 24 เดือน โดยในอดีตที่ผ่านมาไม่มีการแทรกแซงทางการเมือง ส่วนการปรับขึ้นอัตราค่าผ่านทางที่จะปรับขึ้นสำหรับทางด่วนได้ถูกกำหนดไว้ล่วงหน้า ซึ่งน่าจะครอบคลุมอัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำของประเทศไทยในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา แม้ว่าค่าผ่านทางอาจไม่สามารถครอบคลุมต้นทุนการดำเนินงานได้ทั้งหมดในช่วงที่มีอัตราเงินเฟ้อสูง

การพัฒนาและปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน: อ่อนแอกว่า

ฟิทช์คาดว่า BEM จะมีค่าใช้จ่ายเพื่อการลงทุนในช่วงห้าปีข้างหน้าอยู่ในระดับสูง จากการลงทุนในโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม การก่อสร้างโครงการทางด่วนชั้นที่ 2 (Double-deck Expressway) และการจัดหาขบวนรถไฟฟ้าเพิ่มเติมสำหรับโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน

ฟิทช์มองว่าโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มและโครงการทางด่วนชั้นที่ 2 ซึ่งมีความซับซ้อนกว่าการพัฒนาโครงการทางด่วนโดยทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเนื่องจากอยู่ในระยะเริ่มต้นของการพัฒนา ซึ่งส่งผลต่อการประเมินของฟิทช์ อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงดังกล่าวได้ถูกบรรเทาด้วยประสบการณ์อันยาวนานและความเชี่ยวชาญของ BEM ในการลงทุนโครงการใหม่ทั้งทางด่วนและรถไฟฟ้า รวมทั้งการสนับสนุนด้านวิศวกรรม การจัดหา และการก่อสร้าง (Engineering, Procurement and Construction: EPC) จากผู้ถือหุ้นรายใหญ่ คือ บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) หรือ CK ซึ่งมีประวัติการส่งมอบโครงการให้แล้วเสร็จตรงเวลาและอยู่ในงบประมาณที่กำหนด สัญญา EPC ทั้งหมดกับ CK รวมถึงโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม เป็นสัญญาจ้างเหมาแบบเบ็ดเสร็จ และกำหนดวันส่งมอบแน่นอน

โครงสร้างหนี้: ระดับกลาง

โครงสร้างหนี้ของ BEM มีลักษณะคล้ายกับบริษัทขนาดใหญ่ทั่วไป โดยส่วนใหญ่เป็นหนี้ที่ไม่มีการผ่อนชำระเงินต้นเป็นงวด และมีการกำหนดเงื่อนไขในสัญญาเงินกู้ (Covenant) ไม่เข้มงวด ความเสี่ยงจากการรีไฟแนนซ์ได้รับการลดทอนโดยอายุสัมปทานที่เหลืออยู่นาน สภาพคล่องที่แข็งแกร่งซึ่งรวมถึงเงินสดและวงเงินสินเชื่อที่ยังไม่ได้เบิกใช้ และโครงสร้างหนี้ที่มีวันครบกำหนดชำระกระจายตัวอย่างเหมาะสม นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีประวัติในการรีไฟแนนซ์หนี้ได้ล่วงหน้าก่อนครบกำหนด และมีช่องทางระดมทุนที่หลากหลายทั้งจากธนาคารในประเทศ และตลาดทุน ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2568 BEM มีหนี้ที่เป็นอัตราดอกเบี้ยลอยตัว ประมาณร้อยละ 33 ฟิทช์เชื่อว่าความเสี่ยงดังกล่าวอยู่ในระดับที่สามารถบริหารจัดการได้

สถานะทางการเงิน

ประมาณการ Base Case ของฟิทช์สอดคล้องกับประมาณการของ BEM โดยฟิทช์คาดว่ารายได้ของ BEM จะคงที่ในปี 2568 ซึ่งสอดคล้องกับรายได้ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2568 และคาดว่ารายได้รวมจะเติบโตเฉลี่ยประมาณร้อยละ 10 ต่อปีตั้งแต่ปี 2569 จนถึงปี 2573 โดยได้รับแรงหนุนจากการเพิ่มขึ้นของปริมาณจราจรและจำนวนผู้โดยสาร รวมถึงการปรับเพิ่มอัตราค่าผ่านทาง ฟิทช์คาดว่ารายได้รวมจะเติบโตประมาณร้อยละ 4-7 ต่อปีในช่วงปี 2569-2570 และเติบโตเฉลี่ยประมาณร้อยละ 15 ในช่วงปี 2571-2573 เมื่อโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มแล้วเสร็จ ฟิทช์คาดว่าค่าใช้จ่ายเพื่อการลงทุนจะอยู่ในระดับสูงประมาณ 1.3 หมื่นล้านบาทต่อปี ในช่วงปี 2569-2573 บริษัทฯ มีนโยบายจ่ายเงินปันผลประมาณร้อยละ 40 ของกำไรสุทธิของแต่ละปี

ภายใต้ Base Case อัตราส่วนหนี้สินสุทธิ ซึ่งคำนวณจากหนี้สินสุทธิที่ปรับปรุงแล้วต่อกำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายที่ปรับปรุงแล้ว (Adjusted Net Debt/Adjusted EBITDA) ของ BEM เฉลี่ยในช่วงปี 2569-2578 อยู่ที่ประมาณ 5.2 เท่า โดยเริ่มต้นอยู่ที่ประมาณ 4.3-4.6 เท่าจนถึงปี 2570 (ประมาณการปี 2568: 19.0 เท่า; ปี 2567: 10.2 เท่า) และเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 6.3 เท่าในปี 2575 จากนั้นอัตราส่วนหนี้สินจะกลับเข้าสู่ระดับปกติที่ประมาณ 4.0-6.0 เท่าตั้งแต่ปี 2576 เมื่อโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มและโครงการทางด่วนชั้นที่ 2 มีจำนวนผู้ใช้บริการเพิ่มสูงขึ้น และอาจลดลงต่ำกว่า 4.0 เท่าตั้งแต่ปี 2579 หากไม่มีการลงทุนขนาดใหญ่ และ BEM ใช้กระแสเงินสดสุทธิในการชำระหนี้ การคาดการณ์ระยะยาวของฟิทช์จนถึงปี 2578 ได้ครอบคลุมถึงแผนพัฒนาโครงการของ BEM ดังที่กล่าวข้างต้นแล้ว

กรณี Rating Case ของฟิทช์ มีมุมมองที่ระมัดระวังมากกว่า และรวมการปรับสมมติฐานหลายประการจากกรณี Base Case ฟิทช์ปรับลดอัตราการเติบโตของปริมาณจราจรสำหรับทางด่วนลงประมาณร้อยละ 0.6 และปรับลดการเติบโตของจำนวนผู้โดยสารสำหรับรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินลงประมาณร้อยละ 2 นอกจากนี้ ฟิทช์ยังปรับสมมติฐานการเติบโตของจำนวนผู้โดยสารในโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนาให้ช้าลง รวมถึงสมมติฐานอื่นๆ ได้แก่ การเพิ่มค่าใช้จ่ายเพื่อการลงทุนขึ้นร้อยละ 10 การเพิ่มค่าใช้จ่ายดำเนินงานและบำรุงรักษาขึ้นร้อยละ 5 และการเพิ่มอัตราการจ่ายเงินปันผลขึ้นร้อยละ 5

ภายใต้ Rating Case อัตราส่วนหนี้สินสุทธิของ BEM เฉลี่ยในช่วงปี 2569 ถึง 2578 อยู่ที่ประมาณ 6.3 เท่า โดยเริ่มต้นอยู่ที่ประมาณ 4.5-4.8 เท่าจนถึงปี 2570 และเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 8.5 เท่าในปี 2575 จากนั้นอัตราส่วนหนี้สินสุทธิจะกลับเข้าสู่ระดับปกติประมาณ 6.0-7.0 เท่าตั้งแต่ปี 2576 และลดลงต่ำกว่า 6.0 เท่าตั้งแต่ปี 2579 หากไม่มีการลงทุนขนาดใหญ่ และ BEM ใช้กระแสเงินสดสุทธิในการชำระหนี้

ฟิทช์รวมภาระหนี้ของ BEM ที่เกิดจากการกู้ยืมเพื่อใช้ในการก่อสร้างงานโยธาโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มของ รฟม. ในการคำนวณหนี้ของบริษัทฯ เพื่อสะท้อนถึงภาระผูกพันตามกฎหมายของ BEM ในขณะเดียวกัน ฟิทช์รวมเงินอุดหนุนจาก รฟม. ที่ใช้ในการชำระหนี้ดังกล่าวและการจ่ายค่าตอบแทนตามที่กำหนดไว้ใน EBITDA ของบริษัทฯ ด้วย นอกจากนี้ EBITDA ของ BEM ได้รวมเงินปันผลประจำปีจากบริษัทร่วม คือ บริษัท ทีทีดับบลิว จำกัด (มหาชน) และ บริษัท ซีเค พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน)

การเปรียบเทียบกับบริษัทอื่นๆ

ฟิทช์มองว่า BEM มีความเสี่ยงด้านปริมาณผู้ใช้บริการที่ใกล้เคียงกับบริษัทผลิตไฟฟ้าในประเทศไทย เช่น บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC (อันดับเครดิตภายในประเทศ: A+(tha)/แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ, สถานะเครดิตโดยลำพัง (Standalone Credit Profile: SCP): a-(tha)) และ บริษัท ผลิตไฟฟ้า นวนคร จำกัด หรือ NNEG (A-(tha)/แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ) BEM ได้รับประโยชน์จากอายุสัมปทานที่เหลืออยู่อย่างยาวนานและโครงข่ายคมนาคมที่มีการดำเนินงานมาเป็นระยะเวลานาน ซึ่งช่วยให้รายได้มีความยืดหยุ่นและมั่นคง ในขณะที่ประมาณร้อยละ 60 ของปริมาณไฟฟ้าของทั้ง GPSC และ NNEG ถูกขายภายใต้สัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวกับรัฐวิสาหกิจ ส่วนอีกประมาณร้อยละ 40 เผชิญกับความเสี่ยงด้านปริมาณการขายไฟฟ้า

BEM ได้รับประโยชน์จากกลไกการปรับอัตราค่าผ่านทาง และอัตราค่าโดยสารตามสัญญาที่สอดคล้องกับอัตราเงินเฟ้อ ในขณะที่ GPSC และ NNEG เผชิญกับความผันผวนบางส่วนจากค่าไฟฟ้าที่อ้างอิงกับราคาขายปลีก โดยในอดีตการปรับค่าไฟฟ้าขายปลีกมีความล่าช้าเพื่อบรรเทาผลกระทบต่อครัวเรือนในช่วงเวลาที่ราคาพลังงานสูง แม้ฟิทช์เชื่อว่าการปรับราคาตลอดวัฏจักรโดยรวมครอบคลุมต้นทุน

BEM และ GPSC มีอัตราส่วนหนี้สินที่ใกล้เคียงกัน แต่ BEM ได้รับการจัดอันดับสูงกว่าสถานะเครดิตโดยลำพังของ GPSC หนึ่งอันดับเนื่องจาก BEM มีสถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่งกว่า แม้ NNEG จะมีอัตราส่วนหนี้สินที่ต่ำกว่า BEM แต่อันดับเครดิต 'A-(tha)' ของ NNEG ถูกจำกัดโดยสถานะทางธุรกิจจากความหลากหลายของสินทรัพย์ที่ต่ำกว่า เนื่องจากโรงไฟฟ้าตั้งอยู่ในพื้นที่เดียว ดังนั้น BEM จึงได้รับการจัดอันดับสูงกว่า NNEG อยู่หนึ่งอันดับ

ปัจจัยที่อาจมีผลต่ออันดับเครดิตในอนาคต

ปัจจัยลบ:

- อัตราส่วนหนี้สินสุทธิเฉลี่ยตามการคาดการณ์ของฟิทช์เพิ่มสูงกว่า 7.0 เท่า อย่างต่อเนื่อง

ปัจจัยบวก:

- อัตราส่วนหนี้สินสุทธิเฉลี่ยตามการคาดการณ์ของฟิทช์ต่ำกว่า 6.0 เท่า อย่างต่อเนื่อง

สรุปธุรกรรม

เงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้มูลค่ารวมไม่เกิน 5,000 ล้านบาท จะถูกนำไปใช้สำหรับการชำระคืนหนี้เดิม ค่าใช้จ่ายเพื่อการลงทุนและเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ หุ้นกู้ไม่มีประกันและไม่ด้อยสิทธิซึ่งมีอัตราดอกเบี้ยคงที่ดังกล่าวแบ่งออกเป็น 5 ชุด โดยมีอายุตราสาร 3 ปี 5 ปี 7 ปี 10 ปี และ 12 ปี และมีกำหนดไถ่ถอนในปี 2572 2574 2576 2579 และ 2581 ตามลำดับ


ข่าวทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ+ฟิทช์ เรทติ้งส์วันนี้

TAGTHAi ร่วมกับ BEM หนุนเส้นทางท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ด้วย Free Walking Tour เชื่อมรถไฟฟ้า MRT กับเสน่ห์ชุมชนย่านหัวลำโพง เยาวราช และตลาดน้อย

TAGTHAi แพลตฟอร์มท่องเที่ยวแห่งชาติของไทย ร่วมกับบริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM ผู้ให้บริการรถไฟฟ้า MRT สายสีน้ำเงินและสายสีม่วง เปิดตัว TAGTHAi Free Walking Tour การออกแบบเส้นทางท่องเที่ยวย่านวัฒนธรรมเก่ายอดฮิตของกรุงเทพมหานคร ที่ใช้การเดินเท้าเข้ามาเชื่อมโยงการเยี่ยมชมวิถีชีวิตของคนในชุมชน โดยใช้รถไฟฟ้า MRT สถานีหัวลำโพงเป็นจุดนัดพบ ก่อนเที่ยวชมชุมชนที่อยู่รอบๆ สถานี ครอบคลุมย่านวัฒนธรรมชื่อดังอย่างหัวลำโพง เยาวราช และตลาดน้อย ซึ่งได้รับความนิยมจากทั้งคนไทยและนักท่อง

บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มห... BEM คว้ารางวัล IAA Awards 2025 — บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM คว้า 2 รางวัลเกียรติยศ "Outstanding CEO และ Outstanding IR" ...

เสียงแคนเริ่มดังกลางกรุง! เมื่อ Metro Mal... เริ่มแล้ว! เสียงแคนดังกลางเมือง! "Metro Groove Top Country" อิ่ม แซ่บ ม่วนฟรี! ที่ MRT สวนจตุจักร — เสียงแคนเริ่มดังกลางกรุง! เมื่อ Metro Mall MRT สถานีสว...

บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มห... BEM ติดทำเนียบ ESG100 ประจำปี 2568 — บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM ได้รับการจัดอันดับจากสถาบันไทยพัฒน์ให้เป็นหนึ่งใน ESG100...

บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มห... BEM NEW HORIZONS สร้างโอกาสอย่างยั่งยืน บ่มเพาะเมล็ดพันธุ์แห่งอนาคตให้เติบโตอย่างมีคุณภาพ — บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ได้ดำเนินโครงการ...

บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มห... BEM รับมอบใบรับรองมาตรฐาน ISO/IEC 27001:2022 เพิ่มความมั่นใจแก่ผู้ใช้บริการ — บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM ผู้ให้บริการทางพิเศษแ...