กูรูส่อง EKH กำไร Q2 โตโดดเด่น-เชียร์"ซื้อ"ชี้เป้า 8.50 บ. อานิสงส์ศูนย์เฉพาะทางและIVF หนุนเต็มสตรีม

          กูรูหุ้นเชียร์ "ซื้อ" หุ้น บมจ.เอกชัยการแพทย์ (EKH) ประเมินแนวโน้มผลงานไตรมาส 2/62 ยังเติบโตโดดเด่น รับอานิสงส์จากโรคระบาด หนุนคนไข้เข้ามาใช้บริการเพิ่ม และขยายศูนย์กุมารเวชแห่งใหม่ ศูนย์ไตเทียม, ศูนย์ ตา หู คอ จมูก, ศูนย์ความงาม ,ศูนย์ทันตกรรม รวมทั้งได้รับแรงหนุนจากศูนย์ IVF พร้อมปรับประมาณการกำไรปี 62 ขึ้นจากเดิม 14% เป็น 152 ล้านบาท ชี้เป้าหมายราคาพื้นฐานใหม่ไว้ที่ 8.50 บาทต่อหุ้น
          บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด เผยแพร่บทวิเคราะห์ ระบุว่า ฝ่ายวิจัยได้แนะนำ"ซื้อ" หุ้นบริษัท เอกชัยการแพทย์ จำกัด (มหาชน) (EKH) โดยประเมินแนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 2/62 คาดชะลอตัวเมื่อเทียบกับไตรมาสแรกที่ผ่านมาตามฤดูกาลที่เป็น Low Season แต่หากเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนคาดว่าจะเติบโตดีต่อเนื่อง เนื่องจากคาดว่ารายได้จะยังคงเติบโตในระดับ Double Digit ได้ เพราะมีปัจจัยสนับสนุนจากการเติบโตของกลุ่มคนไข้เงินสด จากโรคระบาดที่เพิ่มขึ้นและฤดูฝนปีนี้ที่มาเร็ว ทำให้มีผู้ป่วยมาใช้บริการเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง 
          ขณะเดียวกันมีผู้ที่มาใช้บริการศูนย์ผู้มีบุตรยาก (IVF) เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องหลังเปิดเพิ่มศูนย์บริการอีกแห่งที่พระราม 9 ในเดือน พ.ย.2561 ที่ผ่านมา รวมทั้งในเดือน ก.ค.จะเปิดให้บริการศูนย์กุมารเวชแห่งใหม่ และในช่วงปลายปีนี้จะมีการขยายพื้นที่ให้บริการศูนย์ไตเทียม ซึ่งช่วยเพิ่มรายได้เฉพาะทาง และลดความแออัดจากการเพิ่มเตียงของกลุ่มลูกค้า IPD อีก 60 เตียง 
          สำหรับแนวโน้มครึ่งปีหลังคาดว่า ผลประกอบการจะยังเติบโตดีต่อเนื่อง เพราะเข้าสู่ช่วง High season ในไตรมาสที่ 3 และบริษัทยังมีแผนเปิดศูนย์เฉพาะทางต่อเนื่อง ได้แก่ ศูนย์ ตา หู คอ จมูก.และ ศูนย์ทันตกรรม ด้วยแนวโน้มกำไรที่เติบโตโดดเด่นกว่าคาด และกำไรไตรมาส 1/62 คิดเป็น 34% ของประมาณการเดิม ทำให้ฝ่ายวิจัยปรับเพิ่มประมาณการกำไรปี 2562 ขึ้นจากเดิม 14% เป็น 152 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 29% เทียบจากช่วงเดียวกันของปีก่อน) จากการปรับสมมติฐานรายได้ขึ้นจากเดิม 6.5% ปรับเพิ่มอัตรากำไรขั้นต้นจากเดิม 40.7% เป็น 43.7%
          ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยจึง แนะนำ "ซื้อ" ด้วยแนวโน้มผลประกอบการที่เติบโตดีต่อเนื่องในปีนี้ ขณะที่ราคาปัจจุบันซื้อขายที่ PER 62 เพียง 25เท่า เทียบกับค่าเฉลี่ยของกลุ่มที่ 30 เท่า โดยปรับราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2562 จากเดิมที่ 7.60 บาท เป็น 8.50 อิงวิธี DCF ด้วย WACC ที่ 8% และ Terminal Growth 3%