นาย
ศุภชัย เจียรนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร
เครือเจริญโภคภัณฑ์ แสดงวิสัยทัศน์บนเวทีการประชุมระดับโลก Social Business Day2019 ที่ Yunus Center และภาคีเครือข่ายชุมชน
ธุรกิจเพื่อสังคมจัดขึ้นที่ประเทศไทย โดยกล่าวว่า ปัจจุบันเรากำลังอยู่ในช่วงเวลาที่สำคัญในประวัติศาสตร์ กล่าวคือ วิทยาศาสตร์ ข้อมูล และเทคโนโลยี กำลังเปลี่ยนแปลงโลก และสร้างโอกาสใหม่ในการยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนและบรรเทาปัญหาสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ ด้วย คงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำ แต่เราทุกคนสามารถที่มีส่วนร่วมในการสร้างความเปลี่ยนแปลงเพื่อกำหนดอนาคตที่เราต้องการ ในส่วนของเครือเจริญโภคภัณฑ์ หรือ ซีพี นั้นได้ตระหนักถึงบทบาทที่สำคัญของตนเองซึ่งเป็นแรงผลักดันต่อการร่วมสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นให้กับโลกใบนี้
บทบาทที่สำคัญของซีพีมีอยู่ 3 ประการ ประการแรก ด้าน "ความรับผิดชอบต่อสังคมที่แท้จริง" มาจาก "จากภายในสู่ภายนอก" (Inside Out) เริ่มต้นจากการดูแลพนักงาน 350,000 คนใน 21 ประเทศที่เข้าไปลงทุน ให้เหมือนกับดูแลคนในครอบครัว ตลอดจนดูแลพันธมิตรธุรกิจและคู่ค้านับหมื่นรายที่เป็นตัวแทนครอบครัวซีพี ประการต่อมาคือบทบาทและความรับผิดชอบของซีพีที่มีต่อสังคมโลกและสิ่งแวดล้อม เนื่องจากซีพีเป็นองค์กรขนาดใหญ่และมีเครือข่ายที่กว้างขวาง จึงมีโอกาสมากพอที่จะช่วยนำการเปลี่ยนแปลงที่ดีมาสู่โลก ประการสุดท้าย คือบทบาทด้านส่งเสริมการสร้างสรรค์นวัตกรรมที่จะนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนรวมถึงการประกอบธุรกิจที่ยั่งยืน โดยทำงานอย่างใกล้ชิดกับองค์กรชั้นนำต่าง ๆ
ทั้งนี้ นายศุภชัย ยังได้กล่าวถึงบทบาทของการเป็นผู้นำสมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กประเทศไทย (GCNT) ระบุว่าว่าสมาคมฯ มีนโยบายขับเคลื่อน 4 เสาหลัก คือ การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม, สิทธิมนุษยชน, มาตรฐานแรงงาน, และการต่อต้านการทุจริต ซึ่ง GCNT เป็นความร่วมมือระหว่างภาครัฐบาลและเอกชนในระดับโลกอย่างแท้จริง ปัจจุบันในประเทศไทยมีองค์กรต่าง ๆ ร่วมเป็นสมาชิกถึง 40 องค์กร ทำงานร่วมกับรัฐบาลไทยในการส่งเสริมและผลักดันหลักปฏิบัติขององค์การสหประชาชาติ ด้วยการกระตุ้นให้ภาคธุรกิจดำเนินกิจการด้วยความรับผิดชอบ โดยขับเคลื่อนกลยุทธ์ผ่านการเรียนรู้แบบเพื่อนช่วยเพื่อน การประชุมสัมมนา การอภิปราย และการฝึกอบรม ฯลฯ นอกจากนี้ เครือซีพียังสนับสนุนองค์กรต่าง ๆ เช่น One Young World เพื่อส่งเสริมคนรุ่นใหม่ให้เป็นผู้นำที่มี "กรอบความคิด" ที่ถูกต้อง ซึ่งผู้นำรุ่นใหม่เหล่านี้จะช่วยนำเสนอ "นวัตกรรม" ที่เป็นทางออกในการแก้ไขปัญหาท้าทายระดับโลก
ของเสียและมลพิษ วิกฤตการณ์ระดับโลกที่น่าห่วง
บนเวทีระดับโลก Social Business Day 2019 นายศุภชัย ได้กล่าวต่อไปว่า หนึ่งในวิกฤตการณ์โลกที่น่าเป็นห่วงคือ ขยะและมลพิษ ซึ่งกำลังคุกคามสุขภาพความเป็นอยู่ที่ดีของมนุษย์ อันเป็นผลมาจากเศรษฐกิจที่เน้นการบริโภคอย่างไม่ยั่งยืน โดยพบว่าปีที่แล้ว มีขยะเกิดขึ้นมากกว่า 2,000 ล้านตันด้วยน้ำมือของประชากร 7,000 ล้านคนบนโลกใบนี้ ถ้าเรายังไม่รีบแก้ปัญหา ภายในปี 2593 ปริมาณขยะบนโลกจะเพิ่มขึ้นถึง 70% หรือเท่ากับ 3,400 ล้านตัน ซึ่งขยะที่มีปริมาณมากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ อาหาร (44%) กระดาษและลัง (17%) พลาสติก (12%) และ 60% ของขยะทั้งหมดบนโลกมาจากทวีปเอเชียกับยุโรป นอกจากนี้ องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้รายงานว่าในแต่ละปีมีประชากรโลกประมาณ 7 ล้านคน เสียชีวิตก่อนวัยอันควร ด้วยโรคร้ายอย่างมะเร็ง โรคหลอดเลือดสมอง โรคหัวใจ และโรคปอด ซึ่งเกิดจากมลพิษทางอากาศ โดย 90% ของผู้เสียชีวิตอาศัยอยู่ในประเทศที่มีรายได้น้อยจนถึงปานกลาง และเป็นประเทศที่มีการปล่อยควันจากโรงงานอุตสาหกรรม การขนส่ง และเกษตรกรรม ในอัตราที่สูง นอกจากนี้ มลพิษทางอากาศยังเป็นตัวการสำคัญที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสภาพอากาศ ที่เป็นภัยคุกคามระบบนิเวศ ด้วยเหตุนี้จึงจำเป็นต้องมีนโยบายสาธารณะเพื่อเป็นตัวเร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างยิ่งใหญ่และรวดเร็วเพื่อแก้ปัญหาต่าง ๆ เหล่านี้
ในส่วนของเครือซีพีของมี"นโยบายบรรจุภัณฑ์ยั่งยืน" เพื่อส่งเสริมให้ทุกหน่วยธุรกิจคิดและแสดงความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งขับเคลื่อนภายใต้ยุทธศาสตร์ "5Rs" ได้แก่ 1. การสร้างความตระหนักรู้แก่ผู้บริโภค หรือ Re-educate เพื่อลดการก่อให้เกิดของเสีย 2. การลดการใช้พลาสติก หรือ Reduce 3. การรีไซเคิลพลาสติก หรือ Recycle 4. การใช้วัสดุทดแทน หรือ Replace และ 5. การค้นคว้าวิจัยนวัตกรรม หรือ Reinvent
นอกจากนี้ยังระบุว่าเครือซีพีให้ความสำคัญในการวิจัยและพัฒนา เพื่อนำมาปรับใช้ในการทำฟาร์มแบบยั่งยืนที่ไม่มีของเสียหรือไม่ก่อให้เกิดขยะ เช่น การใช้ก๊าซชีวภาพที่เกิดจากการทำฟาร์มสุกร การใช้พลังความร้อนจากใต้ดิน ในขณะที่น้ำเสียจะได้รับการบำบัดก่อนนำไปใช้เพื่อการชลประทาน รวมถึงยังมีการออกแบบฟาร์มกุ้งระบบปิดแบบบูรณาการในสหรัฐอเมริกา
ทั้งนี้ยังประกาศด้วยว่า เครือซีพีเป้าหมายอย่างท้าทายว่าเราจะเป็นองค์กรปลอดคาร์บอน ซึ่งในปัจจุบันหลากหลายธุรกิจทั่วโลกต่างมองหาหนทางที่จะเปลี่ยนไปใช้พลังงานทางเลือกในทุกขั้นตอนเท่าที่เป็นไปได้ เพื่อลดขยะให้เป็นศูนย์และสะสมคาร์บอนเครดิต
ในขณะเดียวกัน เครือซีพีจะผสมผสานเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ากับการดำเนินธุรกิจ ตัวอย่างเช่น ระบบดาวเทียมที่ช่วยให้เกษตรกรสามารถระบุพื้นที่เพาะปลูกได้อย่างเหมาะสม อีกทั้งยังช่วยจัดโซน และลดอัตราความล้มเหลวให้เหลือน้อยที่สุดได้ การพัฒนาอย่างก้าวกระโดดของเทคโนโลยีก่อให้เกิดทางเลือกในการแก้ปัญหาแต่ละประเภทได้อย่างเฉพาะเจาะจง เพราะถือเป็นหน้าที่ของผู้ประกอบการที่ต้องใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมให้เอื้อประโยชน์และสร้างโอกาสแก่ผู้คนคนรอบตัว
ยึดหลักจริยธรรม
ซีอีโอ เครือซีพี แสดงวิสัยทัศน์ต่อไปว่า การทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จถือเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งต้องควบคู่ไปกับการเป็นองค์กรที่ดี (Good Corporate Citizens) ที่มีส่วนร่วมในการสร้างแนวปฏิบัติทางธุรกิจที่ดีขึ้นและเป็นประโยชน์ต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม ทั้งนี้ เครือซีพี มุ่งมั่นที่จะดำเนินกิจการอย่างถูกต้องตามหลักจริยธรรม ด้วยการปฏิบัติตามมาตรฐานที่ดีที่สุดในระดับโลก ไม่ใช่แค่ทำตามกฎและข้อบังคับเท่านั้น
เพราะ "คน" หรือ "บุคลากร" เป็นสินทรัพย์ที่ทรงคุณค่าที่สุด เครือซีพีจึงจำเป็นต้องฝึกฝนบุคลากรให้มีความสามารถ ต้องสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม (Ecosystem) เพื่อพัฒนาให้เป็นผู้นำที่เป็นแบบอย่างของค่านิยมองค์กรและความยั่งยืน โดยเครือซีพีได้ก่อตั้งสถาบันผู้นำ เครือเจริญโภคภัณฑ์ (CP Leadership Institute) เพื่อฝึกอบรมผู้นำและผู้บริหารรุ่นใหม่ปีละกว่า 4,000 คน โดยเน้นเรื่องการบริหารจัดการ ความรับผิดชอบต่อสังคม หลักธรรมาภิบาล และจริยธรรม
"ในมุมมองของผม ความรับผิดชอบต่อสังคมและการดำเนินธุรกิจอย่างมีจริยธรรม ควรเป็นรากฐานสำคัญของทุกสิ่งที่เราลงมือทำหรือตั้งใจจะทำในอนาคต ซึ่งต้องเริ่มจากตัวเราในระดับบุคคลก่อนจะแผ่ขยายไปยังผู้คนรอบตัว ตามที่ศาสตราจารย์ยูนุสได้พิสูจน์และเป็นแบบอย่างให้เห็นแล้วหลายต่อหลายครั้ง"