ไมเกรน...โรคยอดฮิตภัยเงียบที่ทำลายชีวิตของคนทำงาน

ข่าวประชาสัมพันธ์ »

          การเปลี่ยนแปลงของกระแสโลกเศรษฐกิจและสังคมในปัจจุบัน ส่งผลต่อทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิตเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะคนในวัยทำงานที่ต้องเผชิญกับการแข่งขันและความกดดันอย่างต่อเนื่อง ทำให้ต้องเผชิญกับความเครียดสะสม ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อประสิทธิภาพในการทำงานที่ลดลง รวมไปถึงบั่นทอนสุขภาพกายและใจ และยังเป็นสิ่งกระตุ้นให้เกิดโรคยอดฮิตของคนวัยทำงานอย่าง "โรคไมเกรน" โรคที่ไม่ใช่แค่อาการปวดหัวทั่วไปอย่างที่ทุกคนคิด แต่เป็นโรคที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวันและเป็นอุปสรรคต่อการทำงานอย่างแท้จริง ซึ่งการมีความรู้และความเข้าใจอย่างถูกต้องจึงเป็นพื้นฐานสำคัญของการเริ่มต้นสังเกตตนเองและบุคคลใกล้ชิดให้ห่างไกลจากโรคไมเกรนได้ยิ่งขึ้น
          ผศ.นพ. สุรัตน์ ตันประเวช ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบประสาทและสมอง คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวว่า ทุกวันนี้ 'โรคไมเกรน' เป็นเทรนด์โรคทางสมองที่กำลังมาแรงในกลุ่มคนทำงานที่เผชิญกับสิ่งกระตุ้น เช่น ความเครียดสูง การนอนผิดเวลา การเดินทางที่ต้องเผชิญกับสภาวะอากาศแปรปรวน ในทุกสังคมทั่วโลก โดยจะพบผู้ป่วยอยู่ในช่วงอายุระหว่าง 25 – 30 ปี มากที่สุดและมักพบในผู้ป่วยเพศหญิงมากกว่าเพศชาย ด้วย 2 ปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดโรคคือ ร้อยละ 10 - 20 สืบเนื่องมาจากพันธุกรรมที่มีประวัติของคนในครอบครัวที่เป็นไมเกรนอยู่แล้ว และกว่าร้อยละ 80 - 90 เกิดจากพฤติกรรมสิ่งแวดล้อมที่สมองตอบสนองต่อสิ่งเร้าที่เป็นตัวกระตุ้นทำให้การรับรู้สึกถึงระบบประสาทเกิดความเปลี่ยนแปลงไวกว่าคนปกติ (Hypersensitivity) เช่น ความเครียด ฮอร์โมน การพักผ่อนไม่เพียงพอ อากาศเปลี่ยนแปลง ความไวต่อแสงจ้า เสียงดัง และกลิ่นฉุน ล้วนเป็นสิ่งกระตุ้นชั้นยอดต่ออาการปวดศีรษะ รวมไปถึงการเคลื่อนไหว เนื่องจากการเคลื่อนไหวจะกระตุ้นให้อาการปวดศีรษะเลวร้ายมากขึ้นเช่นกัน นอกจากนี้โรคไมเกรนยังมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย ได้แก่ การมองเห็นผิดปกติ คลื่นไส้ อาเจียน หงุดหงิดง่าย ซึ่งหากยิ่งซ้ำเติมจะยิ่งทำให้ผู้ป่วยมีอาการแย่ลงไปอีก โดยระยะของโรคไมเกรน สามารถจำแนกได้ด้วยระดับความปวดศรีษะของโรคไมเกรนจะแบ่งเป็น 4 ระยะ ดังนี้
ไมเกรน...โรคยอดฮิตภัยเงียบที่ทำลายชีวิตของคนทำงาน
          1. ระยะนำ (Prodrome) คือการบอกเหตุก่อนเริ่มมีอาการปวดศีรษะประมาณ 1-2 วัน โดยผู้ป่วยจะมีการเปลี่ยนแปลงทางระบบสมองที่ควบคุมร่างกาย เช่น ตัวบวม ปวดเมื่อยตามตัว อารมณ์ รวมถึงพฤติกรรมและความอยากอาหารมากกว่าปกติ
          2. ระยะอาการเตือน (Aura) คือการเตือนก่อนเกิดอาการปวดศีรษะ ประมาณ 5-60 นาที แต่จะไม่เกิดกับผู้ป่วยทุกคน เป็นอาการที่เกิดจากระบบประสาทส่วนกลางทำงานผิดปกติ สามารถเกิดได้หลายรูปแบบ เช่น มองเห็นแสงกระพริบ ๆ แสงซิกแซก มองเห็นเป็นเส้นคลื่น หรืออาการที่เกิดจากความรู้สึก การเคลื่อนไหว กล้ามเนื้ออ่อนแรง รู้สึกชาที่มือหรือเท้า การพูดลำบาก พูดไม่ชัด ซึ่งอาการเหล่านี้ จะค่อย ๆ เริ่มเกิดขึ้น และจะยังคงมีความรู้สึกนี้เป็นชั่วโมง หรือหลายชั่วโมงก็ได้หากมีหลายอาการ
          3. ระยะปวดศีรษะ (Headache) คือ ผู้ป่วยจะมีอาการปวดศีรษะด้านใดด้านหนึ่ง โดยมีอาการปวดแบบตุบ ๆ ตามจังหวะหัวใจเต้น มักจะมาพร้อมกับอาการคลื่นไส้อาเจียน และผู้ป่วยบางรายอาจไวต่อแสงหรือเสียงดัง ซึ่งอาการปวดศีรษะอาจยาวนาน 4-72 ชั่วโมง
          4. ระยะหลังจากปวดศีรษะ (Resolution) หรือระยะพัก คืออาการปวดศีรษะและอาการอื่น ๆ จะค่อย ๆ ลดลง ในระยะนี้ผู้ป่วยอาจจะมีความรู้สึกเหนื่อยล้า ซึ่งอาจกินระยะเวลาไม่กี่วันหลังจากหายปวดศีรษะ
          อีกทั้งอาการปวดยังสามารถแบ่งเป็นชนิดย่อยตามระยะการดำเนินของโรคไมเกรนได้อีก 2 กลุ่มได้แก่ การเกิดไมเกรนเป็นครั้งคราว คืออาการผู้ป่วยธรรมดาทั่วไปจะปวดน้อยกว่า 15 วันต่อเดือน ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งเรียกว่า การเกิดไมเกรนแบบเรื้อรัง คือ อาการปวดนานมากกว่าหรือเท่ากับ 15 วันต่อเดือน ซึ่งผู้ป่วยกลุ่มนี้จะต้องพิจารณาตนเอง หลีกเลี่ยงสิ่งเร้าที่ก่อให้เกิดอาการมากที่สุด
          ดังนั้นทางการแพทย์แผนปัจจุบันการรักษาไมเกรนให้หายขาดยังเป็นเรื่องที่ต้องศึกษาค้นคว้ากันต่อไป ซึ่งจุดมุ่งหมายในการรักษาจึงอยู่ที่การรับมือกับอาการปวด ไม่ว่าจะด้วยการรักษาทั้งแบบใช้ยาและไม่ใช้ยา หรือป้องกันอาการด้วยการหลีกเลียงจากสิ่งเร้า ทั้งนี้เพื่อให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดี ทุกข์ทรมานจากความปวดน้อยลง และประกอบกิจวัตรต่าง ๆ ทำงานได้ตามปกติ ควรหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงที่อาจนำไปสู่การปวดเรื้อรัง คือหมั่นสังเกตตัวเองให้ดี รวมทั้งพิจารณาจากประสบการณ์ที่ผ่านมา นอนหลับให้เพียงพอประมาณ 6 ถึง 8 ชั่วโมงต่อวัน ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ จดบันทึกรายละเอียดเกี่ยวกับความปวด อาทิ วัน เวลา ระยะเวลา ลักษณะอาการปวด อาหารที่รับประทาน รวมถึงความผิดปกติ ต่าง ๆ อีกทั้งหากผู้ป่วยมีอาการมากกว่าปวดศีรษะจนผิดสังเกต เช่น มีไข้สูง ตาเห็นภาพซ้อน ตาเหล่ ปากเบี้ยว พูดไม่ชัด แบบนี้ไม่ใช่ไมเกรนแน่ ๆ แต่เห็นได้ชัดว่าเป็นความผิดปกติทางระบบประสาท หรืออาการปวดศีรษะชนิดที่แปลกออกไปแบบที่ไม่เคยปวดมาก่อน เช่น ปวดต่อเนื่องยาวนานไม่ดีขึ้นแม้ใช้ยา แขนขาอ่อนแรง ชาครึ่งซีก พูดไม่ออก ถ้ามีอาการแบบนี้ต้องรีบไปพบแพทย์อย่างเร่งด่วนอย่าปล่อยทิ้งไว้
          "สุดท้ายนี้แม้อาการปวดศีรษะแบบไมเกรนจะเป็นประสบการณ์ที่แสนทรมาน แต่หากรู้จักรับมืออย่างถูกวิธีแล้ว ไมเกรนก็อาจไม่เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินชีวิตประจำวันหรือการทำงานของคุณจนเกินไปนัก ความเข้าใจภาวะโรคไมเกรนของตัวเอง จะช่วยทำให้ผู้ป่วยสามารถจัดการกับโรคได้ดีขึ้น ปัจจุบัน มี Smile Migraine Application ซึ่งผมและทีมงานได้พัฒนาขึ้นมาเพื่อที่จะช่วยให้ผู้ป่วยไมเกรนสามารถบันทึก ติดตาม อาการปวดศีรษะและยาที่รับประทาน ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษา และทำให้ผู้ป่วยไมเกรนกลับมายิ้มได้อีกครั้งหนึ่ง หรือหากต้องการพบปะพูดคุยกับผู้ป่วยที่เป็นไมเกรนด้วยกันและช่วยกันสร้างความตระหนักร่วมกันว่า "โรคไมเกรนรักษาได้" สามารถเข้าร่วมได้ที่ Smile Migraine Community ซึ่งประกอบด้วย Facebook Page, Instagram, Twitter และ YouTube" ผศ.นพ.สุรัตน์ ตันประเวช กล่าวเสริม
 
 

ข่าวo:healวันนี้

กรมอนามัยร่วมแถลงข่าว ความสำเร็จของความร่วมมือในการบำบัดยาปฏิชีวนะในน้ำเสียโรงพยาบาล "โรงพยาบาลพระนั่งเกล้า โรงพยาบาลแห่งแรกของประเทศไทยที่ใช้นวัตกรรมในการบำบัดยาปฏิชีวนะในน้ำเสีย"

แพทย์หญิงอัมพร เบญจพลพิทักษ์ อธิบดีกรมอนามัย พร้อมด้วย ดร. ชานัน ติรณะรัต ผู้อำนวยการกองจัดการคุณภาพน้ำ กรมควบคุมมลพิษ ศาสตราจารย์ ดร. วันชัย ยอดสุดใจ คณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ นายแพทย์ สกล สุขพรหม ผู้อำนวยการโรงพยาบาลพระนั่งเกล้า ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ ร่วมแถลงข่าว ความสำเร็จของความร่วมมือในการบำบัดยาปฏิชีวนะในน้ำเสียโรงพยาบาล "โรงพยาบาลพระนั่งเกล้า โรงพยาบาลแห่งแรกของประเทศไทยที่ใช้นวัตกรรมในการบำบัดยาปฏิชีวนะในน้ำเสีย" โดยมี นายแพทย์ธิติ

โรคกระดูกคอเสื่อม เกิดจากอายุที่มากขึ้นแล... "ปวดคอ" แบบไหน?... ให้สงสัยหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท — โรคกระดูกคอเสื่อม เกิดจากอายุที่มากขึ้นและการใช้งานคอผิดท่ามาเป็นเวลานาน ซึ่งเดี๋ยวนี้คนที่เป็นโรค...

แพทย์จีนขอแนะนำการกดจุดกระตุ้นน้ำนม 2 จุด... นวดกระตุ้นน้ำนมคุณแม่ ด้วยศาสตร์การแพทย์แผนจีน — แพทย์จีนขอแนะนำการกดจุดกระตุ้นน้ำนม 2 จุด คือเส้าเจ๋อ (SI1) และ จู๋ซานหลี่ (ST36) โดยกดจุดละ 3-5 นาที...

สถานเอกอัครราชทูตเดนมาร์กประจำประเทศไทย ร... เวทีนโยบายรับมือโรคอ้วนระหว่างเดนมาร์ก-ไทย: ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงในวันนี้เพื่อคนรุ่นหลัง — สถานเอกอัครราชทูตเดนมาร์กประจำประเทศไทย ร่วมกับบริษัท โนโว น...

ขี้หงุดหงิด ท้องผูก สิว นอนไม่หลับ ปวดหัว... ขี้หงุดหงิด ท้องผูก สิว นอนไม่หลับ ปวดหัว อาการเหล่านี้มีความสัมพันธ์กันได้อย่างไร ? — ขี้หงุดหงิด ท้องผูก สิว นอนไม่หลับ ปวดหัว อาการเหล่านี้มีความสัมพัน...

กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ห่วงประชาชน แน... ป้องกัน 'แอนแทรกซ์' ระบาด กรมอนามัย แนะ 3 วิธี เลือกซื้อ ปรุงประกอบอาหาร — กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ห่วงประชาชน แนะ 3 วิธี ป้องกันการติดเชื้อโรคแอนแทรกซ...