ท่ามกลางปัญหาสงครามการค้าที่ยืดเยื้อมากว่า 2 ปี ส่งผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจทั่วโลก ซึ่งถือเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดที่กดดันการลงทุนมาโดยตลอด แม้ว่าช่วง 4Q62 เราเริ่มเห็นสัญญาณของการเจรจาระหว่างสหรัฐฯกับจีนมากยิ่งขึ้น หลายครั้งเริ่มมีความหวัง แต่สุดท้ายมักจะจบลงด้วยความผิดหวัง เนื่องจากการจะหาข้อตกลงทางการค้าให้เป็นที่น่าพอใจของทั้ง 2 ฝ่ายค่อนข้างยาก โดยทางด้านสหรัฐฯ ก็ต้องการให้จีนเร่งซื้อสินค้าเกษตร เนื้อสัตว์ ในปริมาณสูง เพื่อเป็นการช่วยเหลือเกษตรกรของสหรัฐฯ ซึ่งถือเป็นฐานเสียงที่สำคัญก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดี ในช่วงปลายปี 2563 ในขณะที่ ทางฝั่งจีนต้องการให้ สหรัฐฯ ยกเลิกการขึ้นภาษีนำเข้าจากจีนในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งมีสินค้าที่โดนผลกระทบแล้วกว่า 3.6 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ อย่างไรก็ดี เราเชื่อว่าการเจรจาการค้าจะเดินหน้าต่อเนื่องเพื่อหาจุดที่พึงพอใจของทั้งสอง ฝ่าย โดยเราเชื่อว่าจุดต่ำสุดได้ผ่านพ้นไปแล้วในปี 2562 จากการปลดล็อคเจรจาการค้าเฟส 1 และจะค่อยๆผ่อนคลายลงในปี 2563 แม้อาจต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง แต่ก็น่าจะออกมาในเชิงบวกก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในช่วงปลายปีหน้าได้
สำหรับช่วงต้นปี 2563 ถือว่าเป็นช่วงเวลาแห่งความหวังอีกครั้ง โดยเรามักจะเห็นบริษัทจดทะเบียนต่างๆมีการกำหนดเป้าหมายและกลยุทธ์ในช่วงต้นปี และแน่นอนว่าเป้าหมายดังกล่าวมักจะออกมาค่อนข้างท้าทาย โดยจุดที่ได้เปรียบของปี 2563 คือ บริษัทส่วนใหญ่มีฐานกำไรในปี 2562 ค่อนข้างต่ำ จากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวแรง ดังนั้นการฟื้นตัวจากฐานที่ต่ำ ถือว่ามีความเป็นไปได้ หลังจากเราเริ่มเห็นสัญญาณของปัญหาต่างๆ เข้าสู่ช่วงเวลาการฟื้นตัว แต่อย่างไรก็ดีทุกอย่างคงต้องใช้ระยะเวลาในการเยียวยาก่อนกลับสู่ภาวะปกติ
ประเมินเป้าหมายดัชนีปี 2563 ที่ 1,720 จุด สัญญาณเศรษฐกิจที่ชะลอตัวกดดันกำไรบริษัทจดทะเบียนอ่อนแอ ส่งผลให้ตลอดปี 2562 นักวิเคราะห์ปรับลดประมาณการลงต่อเนื่อง ทำให้ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลง แต่อย่างไรก็ดีเราคาดว่าปี 2563 ภาพรวมเศรษฐกิจภายในและภายนอกจะเข้าสู่จุดฟื้นตัว ท่ามกลางนโยบายผ่อนคลายทางการเงินของธนาคารกลาง และเร่งใช้นโยบายการคลังมากขึ้น ผสานกับปัญหาสงครามการค้าที่คาดจะมีพัฒนาการเชิงบวก คาดหนุนกำไรรวมของบริษัทจดทะเบียนเติบโตจากฐานต่ำราว +9.4 % YoY สู่ระดับ 1.07 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นกำไรต่อหุ้น (EPS) ที่ 101.7 บาท ต่อหุ้น ซึ่งหากอิงค่าเฉลี่ย PE Ratio ของ SET 10 ปีย้อนหลัง +1.5 S.D ที่ระดับ 16.9 เท่า จะได้ดัชนีเป้าหมายของ SET Index ปี 2563 ที่ 1,720 จุด
คาด SET ช่วง 1Q63 ฟื้นตัวในกรอบ 1,500-1,650 จุด จากคาดการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีนมีการพัฒนาดีขึ้น ผสานกับเศรษฐกิจในประเทศที่มีโอกาสเร่งตัวขึ้นจากฐานต่ำ ทั้งด้านการบริโภคผ่านนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ส่วนการลงทุนภาคเอกชน และการใช้จ่ายจากภาครัฐฯ ปรับตัวตอบรับการปลดล๊อคผ่าน พรบ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 ซึ่งจะเร่งเบิกจ่ายภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2563 ผสานกับการดำเนินนโยบายการคลังของธนาคารกลางทั่วโลกที่มากขึ้น ในขณะที่ทิศทางดอกเบี้ยทั่วโลกคาดยังทรงตัวในระดับต่ำ เป็นบวกต่อตลาดสินทรัพย์เสี่ยง โดยธีมการลงทุนเด่น เน้นสะสมหุ้น Valuation ไม่แพง, ปันผลสูง, เข้าสู่ช่วง High Seasons และมีการเติบโตของกำไรอย่างยั่งยืน โดยเราเลือก AOT, BBL, BEM, CPN เป็นหุ้นเด่นประจำไตรมาส 1Q63
เมย์แบงก์ กิมเอ็ง ประเมินผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทย เมื่อ ECB มีมติคงดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์
เมย์แบงก์ กิมเอ็ง จัดสัมมนา WORLD WIDE WEALTH ให้แก่ลูกค้า Investment Management
เมย์แบงก์ กิมเอ็ง รับรางวัล Best Capital Markets Brokerage South East Asia 2021
กลุ่ม Maybank Kim Eng จัดสัมมนา Invest ASEAN 2021 ในหัวข้อ การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในภูมิภาคอาเซียน
เมย์แบงก์ กิมเอ็ง จัดงาน Happy Retirement แด่ คุณมนตรี ศรไพศาล
เมย์แบงก์ กิมเอ็ง เปิดตัวบริการใหม่ Investment Management บริการวางแผนการลงทุนและจัดพอร์ตให้แก่ลูกค้า
เมย์แบงก์ กิมเอ็ง ประเมิน FOMC ส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยเร็วขึ้น และอานิสงค์ของแถลงการเปิดประเทศใน 120 วัน
เมย์แบงก์ กิมเอ็ง ประเมินงบประมาณของสหรัฐฯปี 2022 ส่งหุ้นกลุ่มวัฎจักรเศรษฐกิจยังดูโดดเด่นในระยะยาว
เมย์แบงก์ กิมเอ็ง คัดสรรหุ้นที่คาดแนวโน้มทำกำไรขยายตัวได้โดดเด่นในช่วง 2Q64