'บริหารเขื่อน = บริหารน้ำ’ นักวิจัยด้านน้ำ เร่งพัฒนาโมเดล เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารน้ำในเขื่อน

ข่าวประชาสัมพันธ์ »

เมื่อ “น้ำ”มีจำกัด ทำอย่างไรที่จะทำให้การใช้น้ำมีประสิทธิภาพ และสามารถเพิ่มปริมาณน้ำเก็บกักในเขื่อนได้มากขึ้น นักวิจัยด้านน้ำภายใต้แผนงานยุทธศาสตร์เป้าหมาย (Spearhead) ด้านสังคม แผนงานการบริหารจัดการน้ำ สกสว. เร่งพัฒนาโมเดล-หาเครื่องมือเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการน้ำต้นทุนในเขื่อนให้ได้อย่างสมดุลและยังคงมีน้ำใช้ในระยะยาว นำร่องที่เขื่อนภูมิพล

'บริหารเขื่อน = บริหารน้ำ’  นักวิจัยด้านน้ำ เร่งพัฒนาโมเดล เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารน้ำในเขื่อน

จากสถานการณ์ปัจจุบันประเทศไทยประสบปัญหาขาดแคลนน้ำ โดยเฉพาะสถานการณ์น้ำใน 4 เขื่อนหลักลุ่มเจ้าพระยาที่มีปริมาณน้ำใช้การเหลือน้อย จากความแปรปรวนของสภาพอากาศ ขณะที่น้ำเป็นทรัพยากรหลักและเป็นปัจจัยที่หล่อเลี้ยงทุกสรรพสิ่ง แต่ที่ผ่านมามีการใช้น้ำกันอย่างฟุ่มเฟือย และขาดความตระหนักถึงคุณค่าของน้ำ เมื่อวันนี้น้ำมีจำกัด ทำอย่างไรที่จะทำให้การใช้น้ำมีประสิทธิภาพ และสามารถเพิ่มปริมาณน้ำเก็บกักในเขื่อนได้มากขึ้น จึงเป็นที่มาของ“โครงการกลยุทธ์การปรับเปลี่ยนแนวทางการปฏิบัติการอ่างเก็บน้ำสำหรับพัฒนาการบริหารจัดการน้ำต้นทุนในระยะยาวของเขื่อนภูมิพล (ระยะที่ 1)”ซึ่งเป็น 1 ใน 12 โครงการวิจัยของแผนการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ในการจัดการน้ำเพื่อขับเคลื่อนการประหยัดน้ำ ใช้น้ำอย่างคุ้มค่า ภายใต้แผนยุทธศาสตร์เป้าหมาย (Spearhead) ด้านสังคม แผนงานการบริหารจัดการน้ำ สกสว. ในระยะเวลาการดำเนินงาน 3 ปี 'บริหารเขื่อน = บริหารน้ำ’  นักวิจัยด้านน้ำ เร่งพัฒนาโมเดล เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารน้ำในเขื่อน

“เพราะแผนการจัดการน้ำในอดีตเราไม่สามารถรู้ได้ว่าปริมาณความต้องการน้ำจริง ๆ เท่าไหร่ เรารู้แค่ปริมาณการปล่อยน้ำหรือการระบายน้ำ โจทย์ที่ได้คือทำอย่างไรจึงจะเพิ่มปริมาณน้ำเก็บกักของเขื่อนภูมิพลก่อนถึงฤดูแล้งให้เพิ่มขึ้นอีก 15%” รศ.ดร.อารียา ฤทธิมาจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ในฐานะหัวหน้าโครงการกลยุทธ์การปรับเปลี่ยนแนวทางการปฏิบัติการอ่างเก็บน้ำสำหรับพัฒนาการบริหารจัดการน้ำต้นทุนในระยะยาวของเขื่อนภูมิพล (ระยะที่ 1) กล่าว

โดยได้กำหนดกรอบงานวิจัยไว้ 3 แนวทาง เพื่อเพิ่มต้นทุนการเก็บกักน้ำ ประกอบด้วย 1. คำนวณความต้องการน้ำเพื่อการชลประทาน ด้วยการติดตามพื้นที่เพาะปลูกโดยใช้ข้อมูลภาพถ่ายดาวเทียม และน้ำฝนใช้การมาเป็นปัจจัยปรับลด รวมทั้งทบทวนแผนการจัดสรรน้ำ  2. ข้อมูลปริมาณน้ำไหลเข้าอ่างเก็บน้ำพยากรณ์มากำหนดการระบายน้ำ และพัฒนาแบบจำลองการปฏิบัติการอ่างเก็บน้ำด้วยเทคนิคปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence, AI)  และ 3. ลดปริมาณน้ำส่วนเกิน (Excessive Water) ที่ระบายจากอ่างเก็บน้ำในช่วงน้ำมากและที่เกินความต้องการน้ำท้ายเขื่อน รวมทั้งพิจารณาปริมาณน้ำSide Flow มาประกอบการตัดสินใจปล่อยน้ำที่เหมาะสมเพื่อช่วยประหยัดน้ำและเพิ่มปริมาณน้ำเก็บกักของเขื่อน

รศ.ดร.อารียากล่าวว่า “งานวิจัยนี้เป็นเรื่องของการพัฒนากลยุทธ์ใหม่ในการบริหารจัดการน้ำจากเขื่อน หรือที่เรียกว่า “Reservoir Re-Operation” โดยนำเสนอเทคนิคAdaptive Neuro Fuzzy Optimization with Reinforcement Learning (ANFIS with RL)และเทคนิค Stochastic Constraint Programming with Machine Learning (CP with ML)มาประยุกต์ใช้ โดยได้ทำการพัฒนาแบบจำลองการพยากรณ์ปริมาณน้ำไหลเข้าอ่างเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของข้อมูลนำเข้า เพื่อสุดท้ายนำไปสู่การพัฒนาโมเดลหรือแบบจำลองการบริหารจัดการต้นทุนน้ำในเขื่อนที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพมากขึ้น และสามารถเพิ่มปริมาณน้ำกักเก็บของเขื่อนในระยะยาว”

ผลการศึกษาวิจัยในช่วงระยะเวลา 6 เดือนที่ผ่านมา สำหรับแนวทางวิจัยที่ 1 หลังจากได้ทำการคำนวณปริมาณความต้องการน้ำเพื่อการชลประทานตั้งแต่ปี พ.ศ. 2543 –2561 ด้วยการติดตามพื้นที่เพาะปลูกโดยใช้ข้อมูลภาพถ่ายดาวเทียมจากแหล่งข้อมูลของสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน)(GISTDA)ร่วมกับการวิเคราะห์ค่า DynamicKcจาก Could-Based IrriSAT Application และทำการปรับเทียบกับค่าKc ของกรมชลประทาน รวมทั้งนำฝนใช้การมาเป็นปัจจัยปรับลดพบว่า พื้นที่เพาะปลูกของโครงการชลประทานเจ้าพระยาใหญ่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ และเมื่อทำการวิเคราะห์โดยแบ่งออกเป็น 2 ช่วง คือ ช่วงก่อนและหลังเกิดเหตุการณ์น้ำท่วมปี พ.ศ. 2554 พบว่า ก่อนปี พ.ศ. 2554 ลักษณะการระบายน้ำและแผนการจัดสรรน้ำมีความสอดคล้องกับปริมาณความต้องการน้ำที่ได้จากการคำนวณ แต่หลังปี พ.ศ. 2554 เริ่มมีความแตกต่างกันระหว่างปริมาณความต้องการน้ำที่ได้จากการคำนวณและแผนการจัดสรรน้ำ และปริมาณการระบายน้ำจริง โดยพบว่า ในปี พ.ศ. 2555 แผนการระบายน้ำและปริมาณการระบายน้ำจริงสูงกว่าปริมาณความต้องการน้ำค่อนข้างมาก และในปี 2556–2561 พบว่า ปริมาณความต้องการน้ำยังสูงกว่าปริมาณน้ำต้นทุน (พิจารณาจากปริมาณน้ำไหลเข้าอ่างเก็บน้ำเขื่อนภูมิพลและสิริกิติ์) และยังสูงกว่าแผนการจัดสรรน้ำและปริมาณการระบายน้ำจริง ซึ่งจากการวิเคราะห์ยังพบว่า แนวโน้มพื้นที่การเพาะปลูกค่อนข้างเพิ่มสูงขึ้น ไม่สัมพันธ์กับปริมาณน้ำต้นทุนที่มีความผันแปรอยู่ตลอดเวลาจึงเสนอให้มีการควบคุมพื้นที่เพาะปลูกให้เหมาะสมเพื่อบริหารจัดการน้ำต้นทุนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมทั้งการวางแผนบริหารจัดการน้ำควรจะยึดน้ำต้นทุนเป็นหลักโดยพิจารณาปรับลดพื้นที่แยกให้มีความเหมาะสมแยกตามประเภทปีน้ำในช่วงฤดูฝนและฤดูแล้ง เช่น ปีน้ำมาก (๗ : ๕ ล้านไร่)ปีน้ำปกติ(๖ : ๔ ล้านไร่)และปีน้ำน้อย (๕ :๒ ล้านไร่)ซึ่งผลการศึกษาจากการจำลองโดยสมมุติปรับลดพื้นที่เพาะปลูกลงตามเกณฑ์ที่เสนอ หลังปี พ.ศ. 2555 – 2562 พบว่า ปริมาณความต้องการน้ำลดลง และสามารถเพิ่มปริมาณการเก็บกักน้ำของเขื่อนภูมิผลเพิ่มได้ถึง 1,700 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี

ส่วนแนวทางวิจัยที่ 2 เป็นการนำเสนอเทคนิคปัญญาประดิษฐ์ที่จะนำไปสู่การปรับเปลี่ยนรูปแบบการระบายน้ำของเขื่อนภูมิพล โดยแบบจำลองที่พัฒนาขึ้นสามารถเชื่อมโยงกับฐานข้อมูลฝนคาดการณ์จาก “โครงการการพัฒนาระบบคาดการณ์ปริมาณฝนรายสองสัปดาห์เพื่อการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา”ของทีมวิจัยที่มีดร.กนกศรี ศรินนภากรจากสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ เป็นหัวหน้าโครงการฯ สำหรับใช้กำหนดการตัดสินใจในการระบายน้ำ ซึ่งแนวทางนี้จะทำให้เกิดการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ในการปฏิบัติการอ่างเก็บน้ำรูปแบบใหม่ นอกจากนี้ ผลการจำลองการปฏิบัติการอ่างเก็บน้ำของเขื่อนภูมิพลระยะยาวเบื้องต้นด้วยแบบจำลองฟัซซี่ (Fuzzy Model) พบว่า การนำเข้าข้อมูลปริมาณความต้องการน้ำทั้งหมดที่ทำการควบคุมพื้นที่เพาะปลูกสามารถเพิ่มปริมาณน้ำเก็บกักให้สูงขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับการนำเข้าด้วยข้อมูลปริมาณความต้องการน้ำเดิม

สำหรับการศึกษาแนวทางวิจัยที่ 3 เป็นการวิเคราะห์ปริมาณน้ำส่วนเกินที่ระบายท้ายเขื่อน โดยการมองจุดที่เป็นน้ำส่วนเกินจากการปล่อยน้ำเพื่อต้องการลดปริมาณน้ำส่วนเกินลง จากการวิเคราะห์ข้อมูลปริมาณน้ำที่ระบายส่วนเกินเฉลี่ยรายเดือนที่เขื่อนน้ำเจ้าพระยาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2543 –2562 พบว่า การควบคุมระดับน้ำหน้าเขื่อนค่อนข้างคงที่ไม่ค่อยแตกต่างกันระหว่างช่วงฤดูฝนและฤดูแล้ง โดยมีระดับน้ำเก็บกักเฉลี่ยอยู่ที่ 15.80 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง จากปกติ 16.50เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง

ในขณะที่ การวิเคราะห์น้ำส่วนเกินที่ทำการระบายท้ายเขื่อน พบว่า ในแต่ละปีมีค่าแตกต่างกัน เมื่อแยกเป็นรายเดือนพบว่า มีปริมาณน้ำส่วนเกินที่ระบายอยู่ในช่วงฤดูฝนค่อนข้างมาก โดยเฉพาะเดือนกันยายนและตุลาคม ที่มีปริมาณสูงถึง 5,000 ล้านลูกบาศก์เมตร ดังนั้น ถ้าสามารถปรับเปลี่ยนการจัดสรรน้ำเขื่อนเจ้าพระยาออกเป็นรายฤดู และทำการควบคุมระดับน้ำที่หน้าเขื่อนให้มีความเหมาะสม เช่น ในฤดูแล้งให้เก็บกักน้ำอยู่ที่ 15.80 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง และเพิ่มระดับเก็บกักน้ำในช่วงฤดูฝน นั่นหมายความว่า หากสามารถปรับเปลี่ยนแนวทางการบริหารจัดการน้ำที่เขื่อนเจ้าพระยาจะสามารถลดการระบายน้ำจากเขื่อนภูมิพลและเขื่อนสิริกิติ์ได้ถึง 3,000 ล้านลูกบาศก์เมตร

นอกจากนี้ ยังได้ทำการวิเคราะห์ข้อมูลน้ำท่าของสถานีวัดน้ำ 5 สถานีหลัก (แม่น้ำวัง–W.4Aแม่น้ำยม–Y.17แม่น้ำแควน้อย–N.22Aแม่น้ำสะแกกรัง–Ct.2 และป่าสัก–S.9) เพิ่มเติมพบว่า ปริมาณ SideFlowรายปีของทั้ง 5 สถานี มีค่าเฉลี่ยสูงถึง 8,765 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งหากนำข้อมูลดังกล่าวมาใช้ร่วมกับการติดตามด้วยระบบโทรมาตรที่ดี จะช่วยกำหนดการระบายน้ำจากเขื่อนเพื่อเพิ่มปริมาณน้ำเก็บกักได้ อย่างไรก็ตาม งานวิจัยนี้ยังได้ทำการวิเคราะห์ถึงศักยภาพการเก็บกักน้ำของเขื่อนภูมิพลทั้งในระยะยาวและระยะสั้นโดยใช้ข้อมูลย้อนหลัง 20 ปี พบว่า เขื่อนภูมิพลยังมีศักยภาพในการเก็บกักน้ำเพิ่มได้ถึง 2,700 ถึง 4,000 ล้านลูกบาศก์เมตร

เมื่อนำข้อมูลที่ได้มาคำนวณด้วยแนวทางและเทคนิคใหม่แล้วจะมีสามารถตอบโจทย์การเพิ่มปริมาณน้ำเก็บกักของเขื่อนขึ้น 15% ได้จริงหรือไม่ และนำไปสู่การวางแผนการจัดสรรน้ำและการพิจารณาปรับปรุงเกณฑ์การระบายน้ำจากเขื่อนต่อไปได้อย่างไร

รศ.ดร.สุจริต คูณธนกุลวงศ์ประธานคณะกรรมการอำนวยการแผนงานยุทธศาสตร์เป้าหมายฯ กล่าวว่า จุดเด่นของงานวิจัยนี้ คือ หากเราสามารถรู้หรือสามารถคาดการณ์ฝนล่วงหน้าได้ดีขึ้น เชื่อว่าเราจะประหยัดน้ำเพิ่มได้ 10% และการรู้ความต้องการใช้น้ำที่แท้จริงช่วยให้ลดการใช้น้ำจากเขื่อนลงได้ 10% หรือรวมกันทั้ง 2 แนวทางแล้ว เฉลี่ย ได้ 15% ซึ่งจะเป็นแนวทางปรับปรุงช่วยเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนหรือปริมาณการเก็บกักน้ำของเขื่อนภูมิพลในวันที่1 พฤศจิกายนของทุกปี เพิ่มขึ้นได้ขึ้นเป็นเฉลี่ย 85% จากเดิมมีปริมาณน้ำเก็บกักอยู่ประมาณ 65% โดยเฉลี่ย จะได้ตามเป้าหมายแผนงานวิจัยเข็มมุ่งที่กำหนด (ภายใต้ความร่วมมือจากทุกภาคส่วนและผู้เชี่ยวชาญ ต่างประเทศ)

แต่หากมองถึงภาคที่มีการใช้น้ำมากที่สุด คงไม่พ้นภาคเกษตร ซึ่งตัวเลขพบว่า พืชที่มีการเพาะปลูกกันมากที่สุดในพื้นที่เขตชลประทาน อันดับ 1 คือ ข้าว ซึ่งคิดเป็นประมาณ 80% ของพื้นที่ รองลงมาคือ อ้อย ซึ่งคิดเป็น 10% และที่เหลือ เช่น ไม้ยืนต้น ไม้ดอก และพืชสวน มีสัดส่วนน้อยลงตามลำดับ

ดร.ชูพันธุ์ ชมพูจันทร์คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงเสน หัวหน้าโครงการวิจัยเรื่อง“การประเมินปริมาณความต้องการน้ำในพื้นที่รายภาคกลาง (ระยะที่ 1)”กล่าวว่า นอกจากข้อมูลความต้องการน้ำของพืชแต่ละชนิดแล้ว ยังต้องสำรวจข้อมูลพื้นที่ที่มีการเพาะปลูกพืชในพื้นที่เขตชลประทานตั้งแต่ตอนล่างของเขื่อนภูมิพลลงไปถึงปากอ่าวไทยกว่า 20 จังหวัด จึงต้องใช้ข้อมูลภาพถ่ายดาวเทียมในการคำนวณหาปริมาณความต้องการน้ำของพืช และปริมาณความต้องการของพืชในการนำน้ำไปใช้จริง นอกจากนี้ การใช้ภาพถ่ายดาวเทียมเข้ามาช่วยติดตามลักษณะการเติบโตของพืชในแต่ละรอบการเพาะปลูก (Crop) จะสามารถนำมาใช้จัดการกับการประมาณความต้องการน้ำได้ถูกต้องและทันเวลาได้มากขึ้น

ด้าน ผศ.ดร.สุกรี สินธุภิญโญจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในฐานะหัวหน้าโครงการวิจัยเรื่อง“โครงการระบบวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่เพื่อการวางแผนงานบริหารจัดการน้ำ”กล่าวถึงการนำเทคโนโลยีขั้นสูงMachine Learningมาใช้ในการทำนายสภาพอากาศและการบริหารจัดการน้ำของเขื่อนว่า เป็นเทคโนโลยีAIที่Envision จากประเทศสิงคโปร์พัฒนาขึ้น และเป็นที่ยอมรับจากหลายประเทศทั่วโลกว่า มีความแม่นยำมากในการพยากรณ์อากาศขณะนี้ เนื่องจากใน้ข้อมูลด้านภูมิอากาศทั่วโลกจากหลายแหล่ง และมีเทคนิคการประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่ ซึ่งทางทีมวิจัยกำลังเรียนรู้เทคนิคดังกล่าว เพื่อนำมาพัฒนาในส่วนของข้อมูลสภาพอากาศทั่วไป และปรับปรุงข้อมูลผลการทำนายฝนให้ถูกต้องและมีความละเอียดมากขึ้นในระยะพื้นที่ 1 ตารางกิโลเมตร เพื่อจะสามารถนำไปใช้ในการวางแผนการบริหารจัดการน้ำในเขื่อนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น


ข่าวการบริหารจัดการน้ำ+บริหารจัดการน้ำวันนี้

สทนช. จับมือเขื่อนภูมิพล ปรับลดการระบายน้ำบรรเทาท่วมภาคกลาง

สทนช. ประชุมด่วนวางแผนปรับลดการระบายน้ำจากเขื่อนภูมิพล หลังคาดฝนภาคเหนือจะลดลงอย่างต่อเนื่อง เริ่มต้นวันพรุ่งนี้ จาก 55 ล้าน ลบ.ม. ต่อวัน เหลือ 50 ล้าน ลบ.ม. ต่อวัน และวันถัดไปปรับลดอีกเหลือ 45 ล้าน ลบ.ม. ต่อวัน เพื่อลดมวลน้ำที่ไหลลงสู่ภาคกลาง วันนี้ (15 พฤศจิกายน 2568) นายไพฑูรย์ เก่งการช่าง รองเลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เป็นประธานการประชุมติดตามสถานการณ์น้ำและวางแผนการบริหารจัดการน้ำเขื่อนภูมิพล โดยมีผู้ทรงคุณวุฒิและผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมการประชุม ณ

สทนช. ลุยพื้นที่เสี่ยงภาคกลาง ตรวจความพร้อมระบบชลประทานเจ้าพระยาตอนล่าง ติดตามมาตรการรับมือฤดูฝน ปี 2568 เตรียมแผนรับมือน้ำหลากจากภาคเหนือ

สทนช. เดินหน้าลงพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่าง พร้อมประชุมหารือร่วมกับกรมชลประทาน เพื่อกำหนดแนวทางบริหารจัดการน้ำและติดตามมาตรการรับมือฤดูฝน ปี 2568 ...

กรมอุตุนิยมวิทยา และ สถาบันสารสนเทศทรัพยา... เกาะติดข้อเท็จจริง การบริหารจัดการน้ำรับมือฤดูฝน ปี 2568 — กรมอุตุนิยมวิทยา และ สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) หรือ สสน. ได้มีการคาดการณ์ว่าปี 2...

สทนช. ติดตามการขุดลอกแม่น้ำกก แม่น้ำสาย แม่น้ำรวก พร้อมรับมืออุทกภัยปีนี้

สทนช. บูรณาการหน่วยงานประชุมศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้าชั่วคราวฯ ลุ่มน้ำโขงเหนือ เร่งติดตามความก้าวหน้าการขุดลอกแม่น้ำกก แม่น้ำสาย แม่น้ำรวก การก่อสร้างพนังกั้นน้ำ และการแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำ รับมืออุทกภัยปีนี้ พร้อมชู "จ....

เลขาธิการ สทนช. ลงพื้นที่ จ.พะเยา ติดตามค... สทนช. ติดตามการบริหารจัดการน้ำกว๊านพะเยา พร้อมรับมืออุทกภัยตลอดฤดูฝนปีนี้ — เลขาธิการ สทนช. ลงพื้นที่ จ.พะเยา ติดตามความก้าวหน้ามาตรการรับมือฤดูฝน ปี 68 แ...

นายก่อกิจ ด่านชัยวิจิตร รองเลขาธิการคณะกร... สกพอ. จับมือ 9 หน่วยงานรัฐ เอกชน ร่วมสร้างสมดุลการใช้น้ำ สู่พื้นที่อีอีซีอย่างยั่งยืน — นายก่อกิจ ด่านชัยวิจิตร รองเลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภ...