สทนช. บูรณาการหน่วยงานประชุมศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้าชั่วคราวฯ ลุ่มน้ำโขงเหนือ เร่งติดตามความก้าวหน้าการขุดลอกแม่น้ำกก แม่น้ำสาย แม่น้ำรวก การก่อสร้างพนังกั้นน้ำ และการแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำ รับมืออุทกภัยปีนี้ พร้อมชู "จ.เชียงราย" เป็นต้นแบบการบูรณาการทุกภาคส่วนในการจัดการภัยพิบัติด้านน้ำ
ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เป็นประธานการประชุมคณะทำงานอำนวยการบริหารจัดการน้ำส่วนหน้า (ชั่วคราว) ในพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยลุ่มน้ำโขงเหนือ ครั้งที่ 3/2568 โดยมี นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วย ผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ จังหวัดเชียงราย จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดพะเยา มณฑลทหารบกที่ 37 กรมการทหารช่าง กรมอุตุนิยมวิทยา กรมประชาสัมพันธ์ กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น กรมทรัพยากรน้ำ สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) (สสน.) สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) การประปาส่วนภูมิภาค กรมทางหลวงชนบท กรมควบคุมมลพิษ กรมส่งเสริมการเกษตร กรมประมง องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ องค์การบริหารส่วนจังหวัดพะเยา กรมชลประทาน กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และคณะกรรมการลุ่มน้ำโขงเหนือ เข้าร่วมประชุม ณ ศาลากลางจังหวัดเชียงราย อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย และผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ หลังจากนั้นช่วงบ่าย ลงพื้นที่ติดตามความก้าวหน้าโครงการขุดลอกและบำรุงรักษาร่องน้ำแม่น้ำกก บริเวณหาดเชียงราย อำเภอเมืองเชียงราย พร้อมติดตามความก้าวหน้าการขุดลอกแม่น้ำสาย บริเวณสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมาแห่งที่ 1 และการก่อสร้างพนังกั้นน้ำชั่วคราว-กึ่งถาวร รวมถึงปัญหาคุณภาพน้ำแม่น้ำสาย อำเภอแม่สาย และพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยบริเวณคันกั้นน้ำและถนนทางหลวงชนบทที่ชำรุดในตำบลเกาะช้าง อำเภอแม่สาย ตามลำดับ
เลขาธิการ สทนช. กล่าวว่า สทนช. บูรณาการร่วมกับกรมอุตุนิยมวิทยาและ สสน. เพื่อวิเคราะห์ คาดการณ์และประเมินแนวโน้มปริมาณน้ำฝน น้ำท่า น้ำป่าไหลหลาก และดินโคลนถล่มหรือน้ำล้นตลิ่งในปี 2568 โดยพบว่า จังหวัดเชียงราย เป็นพื้นที่มีความเสี่ยงสูงที่จะประสบภัย เนื่องจากปีที่ผ่านมาได้เกิดอุทกภัยครั้งใหญ่ มีน้ำป่าไหลหลากและดินโคลนถล่ม มีตะกอนดินทับถมเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้ตลอดลำน้ำของแม่น้ำสายและแม่น้ำรวกมีความตื้นเขิน ประกอบกับในช่วงต้นฤดูฝนปีนี้เกิดน้ำท่วมในพื้นที่อำเภอเมืองแม่สายไปแล้ว 2 ครั้ง ดังนั้น การตั้งศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้า (ชั่วคราว) ในพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยลุ่มน้ำโขงเหนือ ที่จังหวัดเชียงราย จึงมีความสำคัญในการบูรณาการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานส่วนกลางและหน่วยงานต่างๆ ในพื้นที่ เพื่อเสริมประสิทธิภาพการบริหารจัดการเชิงป้องกันล่วงหน้า โดยเฉพาะการประเมิน คาดการณ์ ชี้เป้าพื้นที่เสี่ยงล่วงหน้า และสามารถป้องกันภัยได้ตั้งแต่พื้นที่ต้นน้ำ
"การรับมือสถานการณ์ฝนในพื้นที่ลุ่มน้ำโขงเหนือในปีนี้ สทนช. ได้ร่วมกับกรมอุตุนิยมวิทยา คาดการณ์ปริมาณฝนในพื้นที่ของเมียนมา ล่วงหน้าอย่างน้อย 10 วัน เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการวางแผนการบริหารจัดการน้ำและแจ้งเตือนภัยให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ได้เข้าไปดำเนินการในเชิงป้องกันให้ทันก่อนเกิดเหตุ เนื่องจากระบบโทรมาตรที่เป็นเครื่องมือในการแจ้งเตือนระดับน้ำล้นตลิ่งของไทยเป็นการแจ้งเตือนล่วงหน้าในระยะเวลาสั้นๆ อาจไม่ทันต่อสถานการณ์ สำหรับความก้าวหน้าการขุดลอกแม่น้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำรวกนั้น ในส่วนของแม่น้ำสายซึ่งเป็นแม่น้ำระหว่างประเทศ จึงเป็นข้อตกลงร่วมกันระหว่างไทยและเมียนมา โดยในช่วงต้นแม่น้ำสายจะเป็นภารกิจการขุดลอกที่ดำเนินการโดยเมียนมา ขณะนี้ดำเนินการไปแล้วเพียงบางส่วน นอกจากนี้ สทนช. ได้ติดตามการดำเนินการก่อสร้างแนวป้องกันน้ำท่วมชั่วคราว-กึ่งถาวรในพื้นที่เขตเศรษฐกิจของอำเภอแม่สายที่เคยได้รับผลกระทบจากเหตุน้ำป่าไหลหลากและดินโคลนถล่มในช่วงปีที่ผ่านมา ซึ่งในระหว่างการขุดลอกยังไม่แล้วเสร็จทำให้ประสิทธิภาพในการระบายน้ำของแม่น้ำสายยังไม่ดีเท่าที่ควร ทั้งนี้ ศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้าฯ จะทำงานควบคู่ไปกับกองทัพบก โดยการประเมินปริมาณฝน แนวโน้มฝนและปริมาณน้ำที่จะไหลมาตามลำน้ำ หากมีแนวโน้มที่จะล้นตลิ่งเข้ามาท่วมในพื้นที่อำเภอแม่สาย จะให้คำแนะนำชี้เป้าจุดเสริมกระสอบทรายขนาดใหญ่ (Big Bag) หรือจุดติดตั้งเครื่องสูบน้ำเพิ่มเติม เพื่อบรรเทาผลกระทบที่ชาวแม่สายจะได้รับให้เหลือน้อยที่สุด" เลขาธิการ สทนช. กล่าว
สำหรับความก้าวหน้าการขุดลอกแม่น้ำรวก ซึ่งเป็นภารกิจของฝ่ายไทยโดยกองทัพบก มีผลการดำเนินการเป็นไปตามแผน คาดว่าจะแล้วเสร็จในช่วงปลายเดือนมิถุนายนหรือกลางเดือนกรกฎาคมนี้ ในส่วนการขุดลอกแม่น้ำกกที่ดำเนินการโดยกรมชลประทาน สทนช. จะเร่งประสานติดตามการจัดสรรงบประมาณและการดำเนินการขุดลอกให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อช่วยรับมือสถานการณ์ตลอดฤดูฝนปีนี้ นอกจากนี้ ทางจังหวัดเชียงรายได้สะท้อนถึงความจำเป็นในการติดตั้งเครื่องดูดโคลนเพิ่มเติม เนื่องจากมีจำนวนไม่เพียงพอและเป็นสิ่งจำเป็นเร่งด่วนในพื้นที่ หากต้นน้ำมีปริมาณน้ำไหลหลากจะมาพร้อมกับดินโคลนไหลลงมาสะสมในพื้นที่ด้วย ทั้งนี้ สทนช. จะเร่งประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและรัฐบาลเพื่อดำเนินการต่อไป
"ในวันนี้ได้รับทราบข้อมูลในการเตรียมความพร้อมของจังหวัดเชียงรายและหน่วยงานในพื้นที่ ซึ่งได้เตรียมความพร้อมตาม 9 มาตรการรับมือฤดูฝน ปี 2568 อย่างครอบคลุมและรัดกุมแล้ว ทั้งนี้ ต้องขอชื่นชม "จังหวัดเชียงราย" ถือเป็นต้นแบบในการบูรณาการแก้ไขปัญหาภัยพิบัติด้านน้ำของประเทศ ทั้งในเชิงป้องกันก่อนเกิดภัย และด้านปฏิบัติการในระหว่างเกิดภัย รวมทั้งได้ขยายผลการบริหารจัดการน้ำไปยังพื้นที่อื่นๆ โดยเฉพาะการระดมความคิดในการแก้ไขปัญหาภัยพิบัติในพื้นที่จากทุกภาคส่วน ซึ่งเป็นการบูรณาการร่วมกันอย่างแท้จริง ทั้งภาคราชการ ผู้ทรงคุณวุฒิ สถาบันการศึกษา นักวิจัยและนักวิชาการ จนนำไปสู่กระบวนการสร้างเครือข่ายภาคประชาชนที่เข้มแข็งในระดับชุมชนหรือพื้นที่เสี่ยง ซึ่งเป็นกระบอกเสียงในการแจ้งเตือนภัย ลดช่องว่างระหว่างประชาชนกับหน่วยงานภาครัฐ ทำให้การสื่อสารแจ้งเตือนภัยสามารถเข้าถึงประชาชนได้อย่างรวดเร็วและทั่วถึง" เลขาธิการ สทนช. กล่าว