นักลงทุนสนใจซื้อโรงแรมในกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้สูงสุดเป็นอันสองรองจากญี่ปุ่น

12 Mar 2021

การสำรวจความคิดเห็นของบริษัทที่ปรึกษาและบริการด้านอสังหาริมทรัพย์ เจแอลแอล เผยว่า นักลงทุนให้ความสนใจการซื้อโรงแรมในญี่ปุ่นมากที่สุด (52%) ตามมาด้วยโรงแรมในกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (46%) เนื่องจากมองว่าเป็นตลาดการท่องเที่ยวที่มีปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งในระยะยาว นักลงทุนยังคงมีความเชื่อมั่นในศักยภาพระยะยาวของตลาดอสังหาริมทรัพย์กลุ่มโรงแรม/รีสอร์ทในเอเชียแปซิฟิกแม้ภาคการท่องเที่ยวจะได้รับผลกระทบอย่างหนักจากวิกฤติการณ์โควิด-19 ผลการสำรวจความคิดเห็นจากบริษัทที่ปรึกษาและบริการอสังหริมทรัพย์ เจแอลแอล เผยให้เห็นว่า ราว 70% ของกลุ่มนักลงทุนยังคงเชื่อมั่นในภาคธุรกิจโรงแรมและสนใจที่จะลงทุนซื้อโรงแรมในปี 2564 นี้

นักลงทุนสนใจซื้อโรงแรมในกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้สูงสุดเป็นอันสองรองจากญี่ปุ่น

เจแอลแอลยังคาดด้วยว่า ในปีนี้ การลงทุนซื้อขายโรงแรมในเอเชียแปซิฟิกจะมีมูลค่ารวมทั้งสิ้นประมาณ 7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 20% จากปีที่ผ่านมาที่มีมูลค่าการซื้อขายรวมทั้งสิ้น 5.8 พันล้านดอลลาร์ อย่างไรก็ดี พบว่า อุปสรรคสำคัญของการตกลงซื้อขายคือราคา โดยนักลงทุนส่วนใหญ่คาดหวังว่าจะสามารถซื้อโรงแรมในราคาที่ถูกลง 20-30% ในขณะที่เจ้าของโรงแรมส่วนใหญ่ยอมรับการลดราคาได้ที่ระดับประมาณ 10% จากราคาที่เสนอขาย

แต่ความคาดหวังด้านราคาระหว่างผู้ซื้อและเพิ่มขายเริ่มขยับเข้ามาใกล้กันมากขึ้นในปีนี้เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา จากการที่ภาคการท่องเที่ยวเริ่มเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ หลังจากที่เริ่มมีการใช้วัคซีนป้องกันโควิดในหลายประเทศมากขึ้น ทำให้นักลงทุนเริ่มลดคาดหวังในเรื่องความสามารถในการกดราคา ในขณะเดียวกัน แม้จะมีแนวโน้มที่ดีขึ้น เจ้าของโรงแรมเองยังคงต้องแบกรับภาระต้นทุนการดำเนินการในภาวะที่การท่องเที่ยวยังไม่ฟื้นตัว

นายนิฮาท เออร์แคน กรรมการผู้จัดการอาวุโสฝ่ายบริการลงทุนซื้อขาย จากหน่วยธุรกิจบริการด้านโรงแรมของเจแอลแอลภาคพื้นที่เอเชียแปซิฟิกกล่าวว่า "วงจรของตลาดโรงแรมกำลังเริ่มต้นขึ้นใหม่ โดยกำลังอยู่ในช่วงแรกเริ่มของการเตรียมเข้าสู่ระยะฟื้นตัว แนวโน้มที่ดีขึ้นจากการเริ่มมีการใช้วัคซีนที่ทำให้มีความคาดหวังสูงเกี่ยวการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวในระยะต่อไป ทำให้นักลงทุนมีความตื่นตัวมากขึ้นในการมองหาโอกาสการลงทุนซื้อโรงแรมก่อนที่ตลาดและราคาจะฟื้นตัว"

อย่างไรก็ดี การสำรวจความคิดเห็นของเจแอลแอลเผยว่า ราว 25% ของนักลงทุนยังคงลังเลที่จะตัดสินใจลงทุนเนื่องจากยังต้องการรอดูความชัดเจนเกี่ยวกับสถานการณ์โรคระบาดต่อไป ในขณะที่ 5% ของนักลงทุนที่เข้าร่วมการสำรวจความคิดเห็น มีแผนที่จะถอนการลงทุนออกจากภาคธุรกิจโรงแรม และเปลี่ยนไปลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ประเภทอื่นแทน

นักลงทุนส่วนใหญ่มองว่า ช่วงเวลานี้ เป็นโอกาสที่ดีที่จะลงทุนเพิ่มในโรงแรมที่มีอยู่แล้วในพอร์ตการลงทุนของตนเอง ไม่ว่าจะโดยการปรับปรุง การเปลี่ยนประโยชน์การใช้ในบางส่วน และการปรับระดับโรงแรมให้สอดรับกับความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไป

นายซานเดอร์ นิจเนนส์ กรรมการผู้จัดการฝ่ายบริการด้านที่ปรีกษาและบริหารจัดการสินทรัพย์ หน่วยธุรกิจบริการด้านโรงแรมภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก กล่าวว่า "ในปีที่ผ่านมา เจ้าของและผู้ประกอบการโรงแรมส่วนใหญ่มุ่นเน้นให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาด้านสภาพคล่องทางการเงินเป็นหลัก ซึ่งแนวโน้มนี้จะดำเนินต่อไปในอีก 12-18 เดือนข้างหน้า ในขณะเดียวกัน เจ้าของโรงแรมที่ยังคงมีสายป่านยาวมองว่า ขณะนี้เป็นจังหวะที่ต้องลงทุนปรับปรุงโรงแรมเพื่อให้เสร็จพร้อมจังหวะที่ภาคการท่องเที่ยวฟื้นตัว เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและรองรับความต้องการของลูกค้า"

จากผลการสำรวจความเห็นของเจแอลแอล ราว 36% ของนักลงทุนตั้งเป้าที่จะลงทุนปรับปรุงโรงแรมในพอร์ทการลงทุนของตนเองในปีนี้ ควบคู่ไปกับการยังคงรักษาวินัยการควบคุมค่าใช้จ่ายและสภาพคล่องอย่างเคร่งครัด

"ในสภาพตลาดขณะนี้ ยังคงมีการซื้อขายโรงแรมเกิดขึ้น มีนักลงทุนหลายรายที่พร้อมเข้าซื้อโรงแรมเพื่อปรับปรุงและรอจังหวะขายออกเพื่อทำกำไรในอีก 3-5 ปี" นายนิจเนนส์กล่าว

การสำรวจความคิดเห็นเชิงลึกครั้งนี้ของเจแอลแอล มีนักลงทุนเข้าร่วมการสำรวจรราว 100 ราย

เกี่ยวกับ JLL

JLL จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก เป็นหนึ่งในบริษัทชั้นนำของโลกธุรกิจบริการและบริหารการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ ดำเนินธุรกิจในกว่า 80 ประเทศและมีพนักงานทั่วโลกรวมจำนวนทั้งสิ้นกว่า 93,000 คน สำหรับในประเทศไทยเริ่มดำเนินธุรกิจในปี 2533 ปัจจุบันเป็นบริษัทระหว่างประเทศผู้ให้บริการด้านอสังหาริมทรัพย์ครบวงจรรายใหญ่ที่สุดในประเทศ ด้วยพนักงาน 1,600 คน