BEAUTY เผยผลประกอบการไตรมาส 4/63 พลิกมีกำไรทางบัญชีสุทธิ 18.9 ล้านบาทหรือมีกำไรจากผลการดำเนินงาน 4.1 ล้านบาท โต 118% เมื่อเทียบกับไตรมาส 3/63

ข่าวประชาสัมพันธ์ »

BEAUTY เผยผลประกอบการไตรมาส 4/63 พลิกมีกำไรทางบัญชีสุทธิ 18.9 ล้านบาทหรือมีกำไรจากผลการดำเนินงาน 4.1 ล้านบาท โต 118% เมื่อเทียบกับไตรมาส 3/63 ขณะที่งบปี 63 รายได้รวม 786.8 ล้านบาท ขาดทุนทางบัญชีสุทธิ 104.9 ล้านบาทหรือมีขาดทุนจากผลการดำเนินงาน 48.8 ล้านบาท ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดโควิด-19 เผยควบคุมค่าใช้จ่ายการขายและบริหารลดลง 39.7% ฐานะทางการเงินแข็งแกร่ง กระแสเงินสดมีสภาพคล่อง มั่นใจปีนี้เทิร์นอะราวด์ ชู 3 กลยุทธ์ขับเคลื่อนธุรกิจ Re-structure / Re-new / Re-model

BEAUTY เผยผลประกอบการไตรมาส 4/63 พลิกมีกำไรทางบัญชีสุทธิ 18.9 ล้านบาทหรือมีกำไรจากผลการดำเนินงาน 4.1 ล้านบาท โต 118% เมื่อเทียบกับไตรมาส 3/63

นายแพทย์สุวิน ไกรภูเบศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิวตี้ คอมมูนิตี้ จำกัด (มหาชน) (BEAUTY) ผู้ดำเนินธุรกิจจำหน่ายปลีกผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางและบำรุงผิวภายใต้แนวคิด Live a Beautiful Life เปิดเผยว่าผลประกอบการปี 2563 มีรายได้รวมทั้งสิ้น 786.8 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนที่มีรายได้รวม 2,020.8 ล้านบาท ขาดทุนทางบัญชีสุทธิ 104.9 ล้านบาท โดยมีค่าใช้จ่าย 80.9 ล้านบาท เป็นค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการปรับโครงสร้างธุรกิจซึ่งเป็นการจ่ายครั้งเดียวที่ไม่เกิดขึ้นเป็นประจำ (Non-routine expenses) และ 24.7 ล้านบาทเป็นการรับรู้ผลประโยชน์ทางภาษีจากผลขาดทุนตามแนวทางปฏิบัติสำหรับภาษีเงินได้มาตรฐานบัญชีฉบับที่ 12 ดังนั้นบริษัทมีผลประกอบการจากการดำเนินงานในปี 2563 ขาดทุนอยู่ที่ 48.8 ล้านบาท โดยลดลงจากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 232.6 ล้านบาท

ผลประกอบการไตรมาส 4/63 ปรับตัวดีขึ้นเนื่องจากการปรับกลยุทธ์แนวทางบริหารจัดการเพิ่มประสิทธิภาพธุรกิจ ควบคุมต้นทุนการดำเนินงานและลดค่าใช้จ่ายในการบริหาร รวมถึงลดขนาดองค์กรให้เหมาะสมกับรูปแบบธุรกิจ โดยในไตรมาส 4/63 มีรายได้รวมทั้งสิ้น 194.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.6 ล้านบาท หรือ 0.3% จากไตรมาสก่อนที่มีรายได้รวม 193.5 ล้านบาท และมีกำไรทางบัญชีสุทธิ 18.9 ล้านบาท โดยมีค่าใช้จ่าย 9.9 ล้านบาทเป็นค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการปรับโครงสร้างธุรกิจซึ่งเป็นการจ่ายครั้งเดียวที่ไม่เกิดขึ้นเป็นประจำ(Non-routine expenses) และ 24.7 ล้านบาทเป็นการรับรู้ผลประโยชน์ทางภาษีจากผลขาดทุนตามแนวทางปฏิบัติสำหรับภาษีเงินได้มาตรฐานบัญชีฉบับที่ 12 ดังนั้นบริษัทมีผลประกอบการจากการดำเนินงานในไตรมาส 4/63 กำไรอยู่ที่ 4.1 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตรากำไร 2.1 % โดยเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนที่มีขาดทุนสุทธิ 22.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 118% จากไตรมาสก่อน

ทั้งนี้ในปี 2563 บริษัทได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ระบาดเริ่มต้นในประเทศจีนและแพร่กระจายไปประเทศอื่นทั่วโลกส่งผลให้เกิดชะลอตัวเศรษฐกิจ จำนวนนักท่องเที่ยวลดลง ประกอบกับกำลังซื้อผู้บริโภคอ่อนตัวลง และบริษัทต้องปิดดำเนินการร้านค้าปลีกเกือบ 300 สาขาทั่วประเทศตามประกาศมาตรการปิดห้างสรรพสินค้าและปิดประเทศ ซึ่งส่งผลต่อยอดขายภาพรวมของบริษัทอย่างมีนัยยะสำคัญ จากสถานการณ์ดังกล่าวบริษัทเล็งเห็นผลกระทบในระยะยาวจึงมีมาตรการลดความเสี่ยงในอนาคต

โดยดำเนินการปรับโครงสร้างลดขนาดองค์กรให้มีความคล่องตัว ลดภาระค่าใช้จ่ายในระยะยาว เพิ่มความสามารถในการแข่งขัน และการทำกำไรของบริษัทเพื่อรองรับการเติบโตเมื่อสถานการณ์กลับมาเป็นปกติ ซึ่งจากนโยบายดังกล่าวส่งผลให้ปี 2563 บริษัทลดค่าใช้จ่ายโดยรวมลงอย่างมีประสิทธิภาพและมีนัยยะสำคัญ คือลดค่าใช้จ่ายภาพรวมของบริษัทลง 39.7% จาก 564.4 ล้านบาท ลดลง 371.5 ล้านบาทจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 935.9 ล้านบาท โดยมีจำนวน 80.9 ล้านบาท เป็นค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการปรับโครงสร้างธุรกิจซึ่งเป็นการจ่ายครั้งเดียวที่ไม่เกิดขึ้นเป็นประจำ (Non-routine expenses) อาทิ ค่าใช้จ่ายจากการตัดจำหน่ายและด้อยค่าสินทรัพย์ของสาขาตามแนวทางการปิดสาขาที่ไม่มีศักยภาพในการทำกำไร และได้รับผลกระทบจากนโยบายปิดศูนย์การค้าต่างๆ ตามประกาศของรัฐบาลจากสถานการณ์โควิด-19 ค่าชดเชยจากปรับฐานกำลังคนและลดค่าใช้จ่ายของบุคคลากรที่เกิดจากโครงการสมัครใจลาออก ค่าใช้จ่ายอื่นที่เกิดขึ้นตามสถานการณ์

สำหรับทิศทางธุรกิจในปี 2564 บริษัทวางเป้าหมายผลประกอบการกลับมาทำกำไร มีฐานะทางการเงินและกระแสเงินสดที่แข็งแกร่ง พร้อมพัฒนาธุรกิจให้มีความแข็งแรงเพิ่มขึ้น ตั้งเป้าการเติบโตแบบค่อยเป็นค่อยไป ( Conservative Growth ) ให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจและสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ยังไม่คลี่คลายและมีความไม่แน่นอนสูง โดยตั้งเป้ารายได้รวมเติบโตประมาณ 5% และรักษาอัตรากำไรสุทธิไม่ต่ำกว่า 5% โดยบริษัทได้กำหนด 3 กลยุทธ์หลักในการขับเคลื่อนธุรกิจ ประกอบด้วย

  1. ปรับโครงสร้างบริหารจัดการ เพิ่มประสิทธิภาพธุรกิจ (Re-structure) พร้อมลดต้นทุนการผลิตและค่าใช้จ่ายในการบริหารต่อเนื่อง เพื่อให้ต้นทุนและยอดขายอยู่ในระดับที่เหมาะสมกัน
  2. มุ่งเน้นขยายช่องทางการจำหน่ายใหม่ที่มีโอกาสและมีช่องว่างในการเติบโต (Re-new) โดยช่องทางDomestic มุ่งเน้นกลุ่มผู้บริโภคภายในประเทศ ลดการพึ่งพิงนักท่องเที่ยวต่างชาติ ผ่านช่องทางสินค้าอุปโภค ช่องทางอีคอมเมิร์ซ ส่วนช่องทางช่องทางร้านค้าปลีก (Retails) มีการปรับปรุง Merchandise วิธีการทำการตลาดและการขาย เพื่อให้เข้ากับพฤติกรรมผู้บริโภคในปัจจุบัน การขยายตลาดต่างประเทศเชิงรุก และมีแผนพัฒนาโมเดลการขายในต่างประเทศใหม่ผ่าน "Product License" เพื่อความสะดวกในการพัฒนาสินค้าใหม่และการบริหารจัดการตลาดในประเทศจีน
  3. พัฒนาโมเดลธุรกิจใหม่ (Re-model) ปรับปรุงและพัฒนาโมเดลการขายใหม่ซึ่งเป็นการเชื่อมโยงกันช่องทางการขายและสินค้าระหว่างช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ อาทิ Direct to Customer (D2C) หรือ Call Center นำเสนอขายสินค้าและให้คำปรึกษา ความรู้เกี่ยวกับการใช้ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางและความงามควบคู่กันไปด้วย พัฒนา Affiliate Program เป็นโปรแกรมเปลี่ยนลูกค้าเป็นคู่ค้า( Partner ) นำสินค้าของบริษัทไปจำหน่ายในช่องทาง Social Media ของตนเองได้ โดยไม่ต้องสต๊อกสินค้า ไม่ต้องลงทุน บริษัทจัดส่งสินค้าให้ อยู่ที่ไหนก็ขายสินค้าได้ ซึ่งช่องทางใหม่นี้เป็นการเพิ่มโอกาสทางการขายโดยบริษัทไม่ต้องลงทุนขยายสาขาและไม่ต้องเพิ่มพนักงาน รวมทั้งสร้างโมเดลธุรกิจที่หลากหลายร่วมกับพันธมิตรที่เป็นแพลตฟอร์มต่างๆ เพื่อเพิ่มโอกาสในการขาย

"วิกฤตโควิด-19 และวิกฤตทางเศรษฐกิจที่ BEAUTY กำลังเผชิญอยู่นี้ ถึงแม้ว่าจะส่งผลกระทบอย่างมากต่อผลประกอบการของบริษัททั้งรายได้และกำไร แต่จากการที่บริษัทสามารถปรับโครงสร้าง ลดค่าใช้จ่ายต่างๆลงอย่างมีนัยยะสำคัญ ในส่วนของรายได้มีการปรับกลยุทธ์ในด้านต่างๆอย่างต่อเนื่อง ทั้งการสร้างช่องทางการจำหน่ายใหม่ๆ

ทำให้สินค้า BEAUTY ยังคงได้รับความนิยมและเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคในประเทศ ส่วนตลาดต่างประเทศยังคงได้รับคำสั่งซื้อสินค้าจากตัวแทนจำหน่ายในประเทศจีน เอเซียและประเทศอื่นๆอย่างต่อเนื่องถือเป็นสัญญาณที่ดีในการขยายตัวและเจริญเติบโตหลังสถานการณ์วิกฤตคลี่คลายลง "นายแพทย์สุวิน กล่าว


ข่าวผลประกอบการไตรมาส+สุวิน ไกรภูเบศวันนี้

ไทยยูเนี่ยน โกยรายได้ไตรมาส 3/2568 แตะ 3.4 หมื่นลบ. รับกำไรสุทธิปรับปรุง 1,516 ลบ. ดันกำไรต่อหุ้นขยายตัว 12.1% สะท้อนความสามารถในการทำกำไรของบริษัทสดใส

บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU ประกาศผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2568 มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 1,304 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า สะท้อนความสามารถในการทำกำไรต่อเนื่อง แม้ภาวะเศรษฐกิจโลกยังคงมีความท้าทาย โดยมียอดขายรวมอยู่ที่ 34,501 ล้านบาท ซึ่งการเติบโตของยอดขายแบบ organic sales ได้รับแรงหนุนจากกลุ่มธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงและกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารทะเลแช่แข็ง ขณะที่กำไรสุทธิต่อหุ้นเติบโตเพิ่มขึ้น 12.1% เมื่อเทียบกับปีก่อน นอกจากนี้ ไทยยูเนี่ยนยังมีกระแสเงินสดแข็งแกร่งต่อเนื่องที่ 4,127

กลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าและยานยนต์โตเด่น ดันร... อลจี โชว์ฟอร์มแกร่ง เผยผลประกอบการไตรมาส 3 ประจำปี 2568 — กลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าและยานยนต์โตเด่น ดันรายได้ทุบสถิติสูงสุดเป็นอันดับสองในประวัติศาสตร์ บริษัท ...

นางสาวชนากานต์ เยี่ยมวิญญะ ผู้ช่วยผู้อำนว... TSE พร้อมรุกพลังงานสะอาด-ธุรกิจสุขภาพ สร้างการเติบโตยั่งยืน — นางสาวชนากานต์ เยี่ยมวิญญะ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายบัญชี (ขวา) พร้อมด้วย นางสาววีณัชฐย นีรภาพิ...

ช่วงนี้สำหรับใครที่ถือหุ้น IROYAL หรือ บร... IROYAL หุ้นเด่นน่าจับตา แจกวอร์แรนต์ ฟรี แถมกำไรโตแรง — ช่วงนี้สำหรับใครที่ถือหุ้น IROYAL หรือ บริษัท อินเตอร์รอแยล เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้าน...

นายเพชร นันทวิสัย ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏ... TFG มั่นใจปี 68 รายได้เติบโต 15% ทำนิวไฮต่อเนื่อง — นายเพชร นันทวิสัย ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ, นางสาวศิริลักษณ์ ตั้งวิบูลย์พาณิชย์ ประธานเจ้าหน...

นายชวลิต ถนอมถิ่น (กลาง) ประธานเจ้าหน้าที... RT เผยทิศทางครึ่งปีหลัง ตุน Backlog มูลค่า 4,253 ล้านบาท คุมต้นทุนรัดกุม มุ่งบริหารกระแสเงินสด — นายชวลิต ถนอมถิ่น (กลาง) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร นายไชยา ...

ดร.สมชาย รัตนภูมิภิญโญ ประธานเจ้าหน้าที่บ... RBF จัด Analyst Meeting โชว์ศักยภาพธุรกิจช่วงครึ่งปีหลัง 2568 — ดร.สมชาย รัตนภูมิภิญโญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร พ.ท.พญ.จัณจิดา รัตนภูมิภิญโญ กรรมการบริษัท ...