กระทรวงดิจิทัลฯ ส่งสัญญาณเตือนแอปสื่อสังคมออนไลน์ เร่งปรับหลักเกณฑ์คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ให้สอดคล้องกับ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ.2562 ที่จะมีผลบังคับใช้เต็มรูปแบบ วันที่ 1 มิ.ย. นี้ พร้อมแนะหน่วยงานรัฐ ใช้ประโยชน์จากกฎหมายฉบับนี้ เร่งความเร็วการพัฒนา Big Data ภาครัฐ
นายภุชพงค์ โนดไธสง รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) กล่าวระหว่างร่วมเวทีเสวนาอัพเดทสถานการณ์ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ในหัวข้อ "ARE THERE REALLY PERSONAL PRIVACY IN CYBER WORLD?" ความเป็นส่วนตัวของคุณในโลกไซเบอร์ ไม่มีอยู่จริง? จัดโดยสมาคมความมั่นคงปลอดภัยระบบสารสนเทศ (TISA) วานนี้ (23 ก.พ.64) ว่า กระทรวงฯ อยู่ระหว่างการจัดทำกฎหมายลำดับรอง ภายใต้ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ.2562 คาดว่ากฎหมายลำดับรองในกลุ่มที่ 1 ซึ่งอยู่ในกลุ่มสำคัญ จำเป็น เร่งด่วน จะเห็นร่างได้ก่อนวันที่ 1 มิ.ย. นี้ ซึ่งเป็นวันที่ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลฯ จะมีผลบังคับใช้เต็มรูปแบบ
โดยในสิ้นเดือนนี้ จะสรุปผลที่ได้จากการรวบรวมระดมความคิดเห็นจากผู้เกี่ยวข้อง ในกิจการ 7 กลุ่ม ประกอบด้วย กลุ่มธุรกิจการเงิน ตลาดทุน ประกันภัย, กลุ่มธุรกิจท่องเที่ยว โรงแรม, กลุ่มธุรกิจการผลิตและการค้า, กลุ่มธุรกิจสาธารณสุข, หน่วยงานภาครัฐ และรัฐวิสาหกิจ, กลุ่มธุรกิจดิจิทัลและธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ ผู้ประกอบการต่างประเทศ และกลุ่มธุรกิจการศึกษาและภาคประชาชน เพื่อนำมาประกอบการจัดทำกฎหมายลำดับรอง ที่สอดคล้องกับลักษณะกิจการแต่ละกลุ่ม
สำหรับ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 จะมีผลครอบคลุมทุกกิจกรรมที่มีการดำเนินการในประเทศไทย และตลอดจนการโอนข้อมูลส่วนบุคคลที่ได้จากการดำเนินธุรกิจในไทย เพื่อส่งผ่านไปทำการประมวลผลที่ต่างประเทศ และส่งกลับเข้ามาทำธุรกิจในไทย ซึ่งต้องเข้ามาอยู่ภายใต้กฎหมาย ฉบับนี้ของไทยทันที
นายภุชพงค์ กล่าวว่า ภายใต้กฎหมายลำดับรอง กลุ่มที่ 1 ผู้ให้บริการสื่อสังคมออนไลน์ทุกเครือข่าย ต้องปฏิบัติตาม (comply) กับ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลฯ ที่จะมีผลบังคับใช้ทั้งฉบับ ตั้งแต่วันที่ 1 มิ.ย. 64 เนื่องจากจะเข้าไปอยู่ในข้อหลักเกณฑ์และนโยบายการให้ความคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลที่ส่งหรือโอนไปยังต่างประเทศ ต้องมีหลักเกณฑ์และมาตรฐานการคุ้มครองข้อมูลอย่างเพียงพอหรือได้รับการตรวจสอบและรับรองจากสำนักงาน เพราะมีการนำเอาข้อมูลไปประมวลผล และนำมาใช้ดำเนินกิจกรรมในประเทศไทย ทั้งนี้ ผู้ควบคุมข้อมูลหรือผู้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล ที่ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติของกฎหมาย จะมีความรับผิดทางแพ่ง ทางอาญา และทางปกครอง แล้วแต่กรณี
ดังนั้น ขอแนะนำให้สื่อสังคมออนไลน์ที่มีการจัดเก็บข้อมูลส่วนบุคคล ให้บริการอยู่ในประเทศไทย หรือต่างประเทศแต่มีการประกอบกิจการหรือธุรกิจร่วมในประเทศไทยต้องปรับหลักเกณฑ์เงื่อนไขการคุ้มครองข้อมูลลูกค้าเพื่อปฏิบัติตาม (comply) พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลฯ เช่น ต้องระบุหลักเกณฑ์และวิธีการขอความยินยอมจากเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล ไว้ในสัญญาใช้บริการอย่างชัดเจน จุดประสงค์ในการขอข้อมูล และจะนำข้อมูลไปใช้ด้านใดบ้าง ไม่สามารถเอาไปใช้เกินจากที่ระบุไว้ในคำขอความยินยอม เป็นต้น
"โลกดิจิทัล การละเมิดข้อมูลทำได้ง่าย ผู้ใช้ดิจิทัลแพลตฟอร์มต้องพึงระวัง ในการอ่านข้อความขอความยินยอม เจตนารมณ์ของกฎหมาย จะต้องแจ้งวัตถุประสงค์ให้ชัดแจ้งในกิจกรรมนั้นๆ เช่น มี 3 ข้อ ถ้านำไปใช้เพิ่มจากนั้น ผู้ใช้สามารถถอนความยินยอมได้ และอยากแนะนำผู้ใช้งาน ถ้าสมัครใช้แอปพลิเคชั่นสื่อสังคมออนไลน์ใดๆ ต้องระวังถึงจุดนี้ด้วย โดยเฉพาะแอปสนทนาออนไลน์ที่กำลังได้รับความนิยมล่าสุด เพราะแอปนี้ เรียกเอาเบอร์โทรไปจัดเก็บโดยอัตโนมัติ ไม่มีการขอความยินยอมก่อน" นายภุชพงค์กล่าว
ด้านความพร้อมของภาคส่วนต่างๆ ในประเทศไทยต่อการบังคับใช้ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลฯ ปัจจุบัน กลุ่มธุรกิจการเงิน ตลาดทุน ประกันภัย เป็นกลุ่มที่ตื่นตัวและเตรียมพร้อมมากสุด มีแนวปฏิบัติที่ชัดเจน ไม่น่าเป็นห่วง ส่วนภาคธุรกิจอื่นๆ ต้องรีบศึกษารายละเอียดข้อปฏิบัติตามกฎหมายนี้ และรีบดำเนินการ
"ในส่วนของหน่วยงานภาครัฐ ไม่อยากให้มองว่า พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลฯ เป็นอุปสรรคในการแลกเปลี่ยนข้อมูล หรือการทำ Big Data จริงๆ ต้องรีบกล้าให้ เพราะผู้ควบคุมข้อมูล (หรือหน่วยงาน) A ไปถึง B ทุกหน่วยมีความรับผิดชอบในข้อมูลที่ครอบครองหรือได้รับส่งมอบมาต้องมีมาตรการรักษาความปลอดภัยตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนดและมีความรับผิดเท่ากันหมด หากมีการละเมิดข้อมูลเกิดขึ้น เพราะทุกคนมีส่วนในการดูแลข้อมูลส่วนบุคคล ต้องมองมุมบวก ว่ามีกฎหมายฉบับนี้ ต้องรีบแลกเปลี่ยนข้อมูล เพื่อให้เกิดการบูรณาการข้อมูลภาครัฐ การใช้ big data เพื่อให้เกิดนวัตกรรม สิ่งใหม่ในการพัฒนาประเทศ" นายภุชพงค์กล่าว
นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นประธานการประชุมติดตามความก้าวหน้าการแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำแม่น้ำกก แม่น้ำสาย แม่น้ำรวก แม่น้ำโขง และการป้องกันแก้ไขปัญหาอุทกภัยในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดเชียงราย และจังหวัดลำพูน โดยมี นายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย นายวิวัฒน์ อินทร์ไทยวงศ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดลำพูน พร้อมด้วย นางพัชรวีร์ สุวรรณิก รองเลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำ
อาเซียนตื่นตัวเศรษฐกิจดิจิทัล หวั่นไทยล้าหลังเวียดนาม แนะรัฐบาลเร่งเครื่อง
—
ผู้เชี่ยวชาญระดับนานาชาติเผยกลุ่มประเทศในอาเซียน กำลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิท...
กระทรวงดีอี ต้อนรับผู้บริหาร Grab ระดับภูมิภาคพร้อมร่วมหารือเพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล
—
นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกระทรวงดิจิทั...
ประเทศไทยแสดงบทบาทผู้นำด้านทรัพยากรน้ำ ในเวทีระดับสูงของยูเนสโก ณ กรุงปารีส
—
เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2568 คณะผู้แทนไทย นำโดย ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิก...
กรมประมง…คว้ารางวัล GDCC GOV Cloud 2568 พัฒนาระบบ"การออกใบอนุญาตประมงพื้นบ้าน" ยกระดับบริการเศรษฐกิจสู่ยุคดิจิทัล
—
วันพุธที่ 11 มิถุนายน 2568 ณ อาคารสำนั...
กปภ. เฮ! คว้ารางวัลบริการโดดเด่น จาก สดช.
—
การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) คว้ารางวัล GDCC Gov Cloud ประจำปี 2568 ด้านการขับเคลื่อนโครงสร้างพื้นฐาน...
สคส. คว้ารางวัล GDCC ตอกย้ำบทบาทผู้นำด้านการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พร้อมยกระดับแพลตฟอร์มภาครัฐสู่มาตรฐานสากล
—
กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี)...
ดีอี ผนึก สดช. NT จัดงาน GOV CLOUD 2025 พร้อมเปิดตัว "GDCC Open Data" ยกระดับศักยภาพคลาวด์ภาครัฐ
—
กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ร่วมกับสำนัก...
BDI เปิดหลักสูตร LEAD รุ่นที่ 2 เข้มข้นขึ้น! เดินหน้าขับเคลื่อนผู้นำยุคใหม่ ด้วย Big Data และ AI จากทฤษฎี-สู่การลงมือทำ มุ่งพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืน
—
สถาบันข้อมู...
กระทรวง DE และ หัวเว่ย คลาวด์ ประกาศความร่วมมือเพื่อผลักดันประเทศไทย สู่การเป็นศูนย์กลาง AI แห่งอาเซียน
—
หัวเว่ย คลาวด์ ร่วมกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิ...