บรรษัทการเงินระหว่างประเทศ (International Finance Corporation: IFC) คาดหมายว่า เงินทุนในกิจการบริการสุขภาพใหม่ๆ ในประเทศไทย และโครงการพลังงานทดแทนในอินโดนีเซีย จะมาจากสินเชื่อส่งเสริมความยั่งยืนมูลค่า 150 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ของ IFC ที่อนุมัติจัดสรรให้กับบริษัท อาร์เอช อินเตอร์เนชั่นแนล (สิงคโปร์) จำกัด ซึ่งบริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ถือหุ้นทั้งหมด
ความตั้งใจดังกล่าวของ IFC จึงทำให้เกิดสินเชื่อส่งเสริมความยั่งยืนครั้งแรกในเอเชีย และเป็นสินเชื่อส่งเสริมความยั่งยืนสำหรับบริษัทระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานของไทยครั้งแรกเช่นกัน โดยสินเชื่อจำนวนดังกล่าวนี้จะนำไปใช้เพื่อลงทุนในโครงการที่เป็นประโยชน์ทั้งด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม รวมจนถึงโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำในอินโดนีเซีย ด้วย
เนื่องจากประเทศไทยกำลังต่อสู้กับการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ระลอก 3 สินเชื่อส่งเสริมความยั่งยืนส่วนหนึ่งจะนำไปใช้สำหรับการก่อสร้างโรงพยาบาลใหม่ในต่างจังหวัดที่เป็นเมืองหลัก ผ่านการลงทุนของราช กรุ๊ป ที่จะเข้าไปถือหุ้นในกลุ่มโรงพยาบาลของบริษัท พริ้นซิเพิล แคปิตอล จำกัด (มหาชน) (PRINC) ซึ่ง PRINC ถือเป็นด่านหน้าที่ให้บริการสาธารณสุขที่จำเป็นในระหว่างที่โรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ยังคงระบาดอย่างต่อเนื่อง โดยมีแผนจะขยายโรงพยาบาลเพื่อให้บริการในต่างจังหวัดที่เป็นเมืองหลักในประเทศไทยให้ถึง 20 แห่ง
การให้สินเชื่อครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่บริษัทระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานกำลังพยายามที่จะปรับรูปแบบธุรกิจไปสู่ความยั่งยืนมากขึ้น เพื่อสนับสนุนเป้าหมายของประเทศและตอบสนองความต้องการของนักลงทุนที่สนใจการลงทุนที่สร้างกำไรควบคู่ไปกับสร้างคุณค่าทั้งด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม
นายกิจจา ศรีพัฑฒางกุระ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า "บริษัทฯ มีความยินดีที่ได้ลงนามสัญญาสินเชื่อส่งเสริมความยั่งยืนครั้งแรกสำหรับบริษัทระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานในประเทศไทยกับ IFC เงินกู้ดังกล่าวนี้ เป็นการยืนยันว่า กลยุทธ์ด้านพลังงานสีเขียวของบริษัทฯ สอดคล้องกับมาตรฐานระดับสูงของ IFC ซึ่งรวมถึงการเพิ่มกำลังผลิตพลังงานหมุนเวียน 2,500 เมกะวัตต์ในปี 2568 โดยในพอร์ตการลงทุนจะมีการลงทุนพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานน้ำ พลังงานลม และพลังงานชีวมวล"
IFC หวังว่าการลงทุนด้วยสินเชื่อส่งเสริมความยั่งยืนดังกล่าวนี้ จะเป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนให้กับตลาด ได้เห็นถึงคุณค่าของการลงทุนด้านความยั่งยืน อีกทั้งช่วยกระตุ้นให้เกิดการลงทุนลักษณะเดียวกันเพิ่มขึ้นอีกด้วย
หยวน ซู ผู้จัดการประจำประเทศไทย และเมียนมาร์ ของ IFC กล่าวว่า ขณะที่การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจกำลังเริ่มขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป ประเทศไทยมีโอกาสการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานอีกมาก ซึ่งจะช่วยสร้างอนาคตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น และสร้างสังคมที่ทุกคนสามารถติดต่อกันได้มากขึ้น มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และปรับตัวรับการเปลี่ยนแปลงได้ สินเชื่อของ IFC จะช่วยราช กรุ๊ปพัฒนาโมเดลธุรกิจที่มีความยั่งยืนมากขึ้น อีกทั้งยังช่วยให้ฐานเงินทุนของบริษัทฯ ขยายกว้างขึ้นในจังหวะที่นักลงทุนให้ความสนใจมากขึ้นกับธุรกรรมทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ"
นอกเหนือจากการให้สินเชื่อระยะยาวแล้ว IFC ยังได้ให้คำแนะนำราช กรุ๊ป ในการวางกลยุทธ์ด้านความยั่งยืน และช่วยพัฒนากรอบการระดมทุนเพื่อความยั่งยืน โดยขยายให้ครอบคลุมด้านพลังงานทดแทน และธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานที่เป็นประโยชน์ด้านสังคมอื่นๆ ในประเทศไทย อีกทั้งโครงการนอกเหนือโครงสร้างพื้นฐานในตลาดเกิดใหม่อื่นๆ ด้วย ทั้งนี้ กรอบการระดมทุนเพื่อความยั่งยืน ได้จัดทำขึ้นตามหลักการ Green Loan Principles (GLP) และ Social Loan Principles (SLP) ที่กำหนดและกำกับโดย Loan Market Association ซึ่งจะช่วยให้ราช กรุ๊ปสามารถระดมทุนเพื่อสนับสนุนการเติบโตในโครงการสีเขียวและโครงการที่เป็นประโยชน์ด้านสังคมในอนาคตต่อไปได้
เกี่ยวกับบรรษัทการเงินระหว่างประเทศ (IFC)
IFC เป็นสถาบันด้านการพัฒนาที่ใหญ่ที่สุดของโลก มุ่งเน้นสนับสนุนภาคธุรกิจในตลาดประเทศเกิดใหม่ ปัจจุบัน IFC ดำเนินงานมากกว่า 100 ประเทศ ด้วยการสนับสนุนเงินทุน ความเชี่ยวชาญ และศักยภาพในการสร้างตลาดและโอกาสในประเทศกำลังพัฒนา ในปีงบประมาณ 2563 IFC ได้ลงทุนมูลค่า 22,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในบริษัทเอกชนและสถาบันการเงินในประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งเป็นการดึงศักยภาพของภาคเอกชนเพื่อช่วยยุติความยากจน และสร้างความเจริญที่สังคมได้ประโยชน์ร่วมกัน สืบค้นข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.ifc.org.
เกี่ยวกับราชกรุ๊ป
บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (เดิมชื่อบริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน)) เป็นบริษัทพลังงานและระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานที่มุ่งเน้นการสร้างมูลค่าชั้นนำในประเทศไทยและภูมิภาคเอเชีย แปซิฟิก บริษัทฯ ก่อตั้งเมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2543 ด้วยทุนจดทะเบียน 14,500 ล้านบาท ดำเนินธุรกิจในรูปของบริษัทโฮลดิ้งด้วยการลงทุนถือหุ้นในบริษัทย่อยและบริษัทร่วมทุนในธุรกิจผลิตไฟฟ้า ระบบสาธารณูปโภคพื้นฐาน และธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับไฟฟ้าและพลังงาน ปัจจุบัน บริษัทฯ มีฐานธุรกิจในประเทศไทย สปป.ลาว ออสเตรเลีย จีน อินโดนีเซีย และเวียดนาม ในปี 2563 บริษัทฯ ได้รับรางวัล Best Local Currency Green Bond Award จาก The Asset Triple A Sustainable Capital Markets Regional Awards ในประเภทรางวัล Renewable Energy/Transition Energy อีกทั้งยังได้รับรางวัล Deal of the Year Award และรางวัล Environmental, Social and Governance Bond (ESG Bond) Award จาก Thai BMA Best Bond Awards 2020 ของสมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้รับการรับรองคาร์บอนเครดิตจากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) จากโครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจ ในประเภทโครงการเพิ่มประสิทธิภาพพลังงาน, โครงการพลังงานแสงอาทิตย์ลอยน้ำ และโครงการปลูกป่าอย่างยั่งยืน บริษัทฯ ยังได้รับการพิจารณาคัดเลือกอยู่ในรายชื่อหุ้นยั่งยืนของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยติดต่อกันเป็นเวลา 6 ปี และได้รับรางวัลเกียรติคุณการเปิดเผยข้อมูลความยั่งยืนจากสถาบันไทยพัฒน์ เป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน สืบค้นข้อมูลเพิ่มเติมที่ www.ratch.co.th
บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) รายงานความก้าวหน้าการลงทุนซื้อหุ้นโรงไฟฟ้าไพตัน กำลังการผลิตติดตั้งรวม 2,045 เมกะวัตต์ ในอินโดนีเซีย และธุรกิจเดินเครื่องและบำรุงรักษาโรงไฟฟ้า จากกลุ่มบริษัท Mitsui & Co., Ltd. ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นเดิม โดยจะลงทุนซื้อหุ้นของบริษัท PT Paiton Energy ร้อยละ 36.26 และบริษัท IPM Asia Pte. Ltd. ร้อยละ 65 การลงทุนดังกล่าวดำเนินการผ่านบริษัท อาร์เอช อินเตอร์เนชั่นแนล (สิงคโปร์) คอร์ปอเรชั่น จำกัด ("RHIS") ซึ่งเป็นบริษัทย่อยทางอ้อม นางสาวชูศรี เกียรติขจรกุล กรรมการผู้จัดการ
ราช กรุ๊ป จับมือ เน็กส์ซิฟ เอนเนอร์จี พัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมในเวียดนาม กำลังผลิต 80 เมกะวัตต์ พร้อมเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ ปี 2565
—
บริษัท ราช กรุ๊...
ราช กรุ๊ป ปักธงเวียดนามปิดดีลโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม พร้อมเดินเครื่องเชิงพาณิชย์กันยายน 2564 ภายใต้สัญญาซื้อขายไฟฟ้า 20 ปี
—
บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาช...