นายธีรเศรษฐ์ พรหมพงษ์ นักกลยุทธ์เศรษฐศาสตร์มหภาค บมจ.หลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ประเมินอัตราเงินเฟ้อ (CPI) สหรัฐฯ เดือน เม.ย. ปรับตัวขึ้น +4.2% YoY, 0.8% s.a. MoM ขยายตัวมากกว่าที่ Consensus คาดไว้ +3.6% YoY ซึ่งมาจากการขยายตัวของราคารถมือสองและรถบรรทุก (+21% YoY, +10% s.a. MOM) ในขณะที่กลุ่มการใช้จ่ายเกี่ยวกับภาคบริการที่ขยายตัวเด่น ได้แก่ ค่าตั๋วเครื่องบิน (+10.2% YoY, +0.4% s.a. MoM), ค่าเช่าที่พักอาศัยชั่วคราว (7.6% YoY, +3.8% s.a. MoM) และ ค่าเข้าชมการแข่งขันกีฬา (+10.1% YoY, +4.7% s.a. MoM) ซึ่งสะท้อนกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทั้งภาคอุตสาหกรรมและภาคบริการ บ่งชี้ภาวะที่ผ่อนคลายลงเป็นอย่างมากจากสถานการณ์ COVID-19
                                                                                                                                        สร้างความกังวลต่อตลาดหุ้นให้มีโอกาสปรับฐาน แต่ยังไม่ใช่ขาลงรอบใหม่ โดยอัตราเงินเฟ้อ (CPI) ที่เร่งตัวมากกว่าคาดอย่างมีนัยสำคัญ น่าจะสร้างความกังวลว่า Fed จะลดขนาดการทำ QE เร็วขึ้น (Consensus: 4Q64) เป็นปัจจัยกดดันต่อสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหุ้น Growth Stock ที่ราคาเล่นบนความคาดหวังในอนาคต อย่างไรก็ตามยังประเมินว่าเงินเฟ้อที่เร่งตัวรอบนี้น่าจะยังไม่ใช่จุดเปลี่ยนแนวโน้มของตลาด (จากขาขึ้นรอบใหญ่เป็นขาลง) เนื่องจาก 1) ตลาดยังรอความชัดเจนในการประชุม FOMC ครั้งถัดไป วันที่ 15-16 มิ.ย. 2) การเร่งตัวขึ้นของเงินเฟ้อเดือน เม.ย. เกิดขึ้นเป็นเดือนแรก ซึ่งส่วนหนึ่งมาจาก Pent-up Demand ของกิจกรรมหลังเปิดเมือง จึงยังต้องรอบทพิสูจน์ว่าในช่วงถัดไปจะสามารถยืนระยะได้หรือไม่ (จับตาการรายงานเฟ้อ พ.ค. วันที่ 10 มิ.ย.) 3) สหรัฐฯยังไม่ผ่านพ้นวิกฤต COVID-19 อย่างสมบูรณ์แบบ สะท้อนจากการใช้มาตรการกระตุ้นด้านการคลังที่ยังมีต่อเนื่อง ล่าสุดเมื่อวันที่ 10 พ.ค. ที่ผ่านมา ยังมีการอัดฉีดเงิน 3.5 แสนล้านเหรียญฯ ให้แก่รัฐต่างๆเพื่อกระตุ้นการจ้างงาน ซึ่งภาคแรงงาน ถือเป็นอีกหนึ่งตัวแปรสำคัญที่ Fed จะใช้พิจารณาปรับเปลี่ยนนโยบายการเงิน ยิ่งไปกว่านั้นการถอดถอนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ จะเริ่มจากหยุดมาตรการด้านการคลังก่อนเป็นลำดับแรก ตามด้วยด้านการเงิน (ลดขนาดการทำ QE และขึ้นดอกเบี้ยตามลำดับ)
ตลาดให้น้ำหนักปัจจัยที่ชัดเจนในระยะสั้นมากขึ้นกว่าเดิม สิ่งที่สะท้อนให้เห็นจากการเคลื่อนไหวของกระแสเงินทุน พบว่า ตลาดหันมาให้น้ำหนักปัจจัยที่ชัดเจนในระยะสั้น และลดทอนความคาดหวัง สิ่งที่ไม่แน่นอนในระยะยาว 1) เกิดแรงขายหุ้น Growth Stock ที่เล่นความคาดหวัง และซื้อขายบน multiple สูง (เช่น กลุ่ม TECH) สลับเข้าซื้อหุ้น Value ที่แนวโน้มระยะสั้นมีความชัดเจน (เช่น ENERG) 2) Yield Curve ชันขึ้น สะท้อนแรงขายพันธบัตรระยะยาวและสลับเข้าซื้อพันธบัตรระยะสั้น ดังนั้น จึงประเมินกลุ่มหุ้นที่มีความน่าสนใจ เป็นโอกาสสะสมเมื่ออ่อนตัว
Outperform: ENERG&PETRO (IRPC, ESSO, PTTGC), AGRI (NER), FOOD (TU), INDUS&CONMAT (SAT, EPG), Logistics (WICE)
ต่อรองราคา: BANKING: แบงค์ใหญ่ , COMM: หุ้นที่โดนผลกระทบ COVID19
                            
                            เมย์แบงก์ กิมเอ็ง ประเมินผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทย เมื่อ ECB มีมติคงดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์
                        
                            เมย์แบงก์ กิมเอ็ง จัดสัมมนา WORLD WIDE WEALTH ให้แก่ลูกค้า Investment Management
                        
                            เมย์แบงก์ กิมเอ็ง รับรางวัล Best Capital Markets Brokerage South East Asia 2021
                        
                            กลุ่ม Maybank Kim Eng จัดสัมมนา Invest ASEAN 2021 ในหัวข้อ การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในภูมิภาคอาเซียน
                        
                            เมย์แบงก์ กิมเอ็ง จัดงาน Happy Retirement แด่ คุณมนตรี ศรไพศาล
                        
                            เมย์แบงก์ กิมเอ็ง เปิดตัวบริการใหม่ Investment Management บริการวางแผนการลงทุนและจัดพอร์ตให้แก่ลูกค้า
                        
                            เมย์แบงก์ กิมเอ็ง ประเมิน FOMC ส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยเร็วขึ้น และอานิสงค์ของแถลงการเปิดประเทศใน 120 วัน
                        
                            เมย์แบงก์ กิมเอ็ง ประเมินงบประมาณของสหรัฐฯปี 2022 ส่งหุ้นกลุ่มวัฎจักรเศรษฐกิจยังดูโดดเด่นในระยะยาว
                        
                            เมย์แบงก์ กิมเอ็ง คัดสรรหุ้นที่คาดแนวโน้มทำกำไรขยายตัวได้โดดเด่นในช่วง 2Q64