ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กล่าวว่า โรคติดเชื้อพยาธิใบไม้ตับและโรคมะเร็งท่อน้ำดี นับเป็นปัญหาด้านสาธารณสุขที่สำคัญของประเทศไทย โดยเฉพาะในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่ยังมีการติดเชื้อพยาธิใบไม้ตับซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดมะเร็งท่อน้ำดีเป็นจำนวนมาก กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.)
โดย วช. มีบทบาทสำคัญในการให้ทุนสนับสนุนงานวิจัยและนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ปัญหาที่สำคัญของประเทศ จึงให้การสนับสนุนทุนวิจัย Newton Fund Impact Scheme (NFIS) ประจำปี 2563-2564 ภายใต้ความร่วมมือ Newton Fund-NRCT Thailand Research and Innovation Partnership Fund กับโครงการ "การพัฒนาชุดตรวจวินิจฉัยกลุ่มเสี่ยงโรคมะเร็งท่อน้ำดีที่มีการติดเชื้อร่วมระหว่างพยาธิใบไม้ตับและแบคทีเรียเฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลรี่" ซึ่งมี "ศาสตราจารย์ ดร.บรรจบ ศรีภา" จากมหาวิทยาลัยขอนแก่น เป็นหัวหน้าโครงการ โดยร่วมมือกับทีมวิจัยจากประเทศสหราชอาณาจักร เพื่อลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งท่อน้ำดี ลดการสูญเสียทั้งด้านชีวิต สังคมและเศรษฐกิจของประเทศในอนาคต
ศาสตราจารย์ ดร. บรรจบ ศรีภา ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยโรคเขตร้อน คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น เปิดเผยว่า โรคติดเชื้อพยาธิใบไม้ตับและโรคมะเร็งท่อน้ำดี ยังเป็นปัญหาด้านสาธารณสุขที่สำคัญของประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้านในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง ข้อมูลล่าสุดของประเทศไทยที่มีการสำรวจทั้งประเทศในปี พ.ศ.2562 พบการติดเชื้อพยาธิใบไม้ตับเฉลี่ยร้อยละ 2.2 หรือประมาณ 2 ล้านคน โดยพบมากในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ทั้งนี้แม้อัตราการติดเชื้อเฉลี่ยจะลดลงจากร้อยละ 8.7 ในปี พ.ศ. 2552 เพราะกระทรวงสาธารณสุขมีการรณรงค์ควบคุมและป้องกันโรคนี้อย่างเข้มข้นในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา แต่อัตราการตายจากโรคมะเร็งท่อน้ำดียังคงสูงกว่าปีละ 20,000 ราย คณะผู้วิจัยซึ่งศึกษากลไกเชิงลึกในการเกิดโรคมะเร็งท่อน้ำดีร่วมกับการติดเชื้อพยาธิใบไม้ตับมานานกว่า 30 ปี ได้ค้นพบว่าการติดเชื้อแบคทีเรียเฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลรี่ (Helicobacter pylori) โดยเฉพาะสายพันธุ์ที่ก่อความรุนแรง CagA+ ซึ่งก่อให้เกิดมะเร็งกระเพาะอาหาร มีความสัมพันธ์กับโรคมะเร็งท่อน้ำดีและพยาธิสภาพผนังท่อน้ำดีหนาในผู้ติดเชื้อพยาธิใบไม้ตับเรื้อรังในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และยังพบว่าพยาธิใบไม้ตับเป็นสัตว์รังโรคของเชื้อเฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลรี่ ซึ่งแม้จะมีการถ่ายยาพยาธิใบไม้ตับไปแล้วสองปี แต่พยาธิสภาพของท่อน้ำดีก็ยังคงอยู่กว่าร้อยละ 40 และพยาธิสภาพนี้มีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญกับปริมาณการติดเชื้อเฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลรี่ สายพันธุ์ดังกล่าว ซึ่งสอดคล้องกับการตรวจพบเชื้อเฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลรี่ สายพันธุ์นี้กว่าร้อยละ 80 ในน้ำดีของผู้ป่วยมะเร็งท่อน้ำดี ซึ่งส่วนใหญ่ตรวจไม่พบพยาธิใบไม้ตับแล้วศาสตราจารย์ ดร. บรรจบ กล่าวว่า คณะผู้วิจัยได้ดำเนินการวิจัยเชิงลึกอย่างต่อเนื่องและพบว่าเชื้อแบคทีเรียเฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลรี่ สายพันธุ์ที่ก่อโรคมะเร็งท่อน้ำดี มีความแตกต่างจากสายพันธุ์ที่ก่อโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร และสารพันธุกรรมของยีนก่อความรุนแรงของโรค cagA ก็มีความแตกต่างกัน ซึ่งส่งผลทำให้มีการสร้างโปรตีนต่างๆ แตกต่างไปด้วย ซึ่งคณะผู้วิจัยจะเรียกว่า biliary type cagA และเนื่องจากโปรตีน CagA ซึ่งเป็นปัจจัยก่อโรคที่สำคัญ การตรวจหา CagA ในอุจจาระหรือแอนติบอดีต่อ CagA ในเลือดของผู้ติดเชื้อพยาธิใบไม้ตับ อาจจะช่วยในการคัดกรองกลุ่มเสี่ยงมะเร็งท่อน้ำดีได้มากขึ้น นอกเหนือจากการตรวจไข่พยาธิใบไม้ตับอย่างเดียว จึงนำมาสู่แนวคิดในการพัฒนา "ชุดตรวจ วินิจฉัยกลุ่มเสี่ยงโรคมะเร็งท่อน้ำดีที่มีการติดเชื้อร่วมระหว่างพยาธิใบไม้ตับและแบคทีเรียเฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลรี่ " "คณะวิจัยได้ศึกษาสายพันธุ์เชื้อแบคทีเรียเฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลรี่ ในระดับจีโนม รวมถึงการวิเคราะห์ลำดับเบสสารพันธุกรรมของยีน cagA และโปรตีน CagA ก่อนทำการวิเคราะห์ลำดับกรดอะมิโนที่สามารถกระตุ้นการสร้างภูมิต้านทานชนิดแอนติบอดีได้สูง และสังเคราะห์เปปไตน์เส้นสายกรดอะมิโนนี้ขึ้นมา โดยส่งให้ Prof. Steven Edward ผู้ร่วมวิจัยจากมหาวิทยาลัยลิเวอร์พูล ประเทศสหราชอาณาจักร นำไปผลิตเป็น Monoclonal antibody ที่จำเพาะ แล้วนำมาพัฒนาเป็นชุดตรวจ CagA ในอุจจาระโดยวิธี capture ELISA ส่วนเปปไตน์จะนำมาใช้ในการตรวจระดับแอนติบอดีในเลือดด้วยวิธี Indirect ELISA"
ทั้งนี้ หากงานวิจัยได้ผลดีในระดับห้องปฏิบัติการ จะมีการนำเทคนิคดังกล่าวมาทดลองใช้ในระดับชุมชนในการคัดกรองกลุ่มต่างๆ ซึ่งหากประเมินผลแล้วพบว่ามีความไว และความจำเพาะสูง คณะผู้วิจัยจะพัฒนาเป็นต้นแบบชุดตรวจที่ใช้งานง่าย เช่น Lateral flow ซึ่งใช้หลักการเดียวกับ ATK เพื่อใช้ในการคัดกรองในพื้นที่เสี่ยงต่อไป อย่างไรก็ตาม เนื่องจากสัญญาการรับทุนวิจัยนิวตัน มีกรอบการดำเนินงานเพียง 1 ปี ซึ่งไม่มากพอที่จะพัฒนาให้ได้ผลงานตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ แต่จากการดำเนินการวิจัยที่กล่าวมาเบื้องต้น หากประสบความสำเร็จ เราจะได้ชุดตรวจที่เหมาะสำหรับการคัดกรองผู้ติดเชื้อแบคทีเรียเฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลรี่ สายพันธุ์ที่ก่อโรคในท่อน้ำดี มากกว่าชุดคิทตรวจ CagA ทั่วไป ที่ส่วนใหญ่พัฒนามาจากสายพันธุ์ก่อโรคในกระเพาะอาหาร และหากมีการนำไปใช้แพร่หลาย จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงด้านการป้องกันและรักษา ที่สามารถลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งท่อน้ำดีได้มากขึ้นในอนาคต.
สกสว. ขับเคลื่อนเศรษฐกิจนวัตกรรมไทย ยกระดับ Medical & Wellness และ Food & Fruit Innovation เชื่อมเครือข่ายนักวิจัย-ธุรกิจ-นักลงทุนไทยและต่างประเทศ ในงาน VR Thailand 2025
วช. จุฬา ม.เกษตร และกรมอุตุนิยมวิทยา ร่วมแถลงข่าวแนวโน้มสถานการณ์อากาศและน้ำท่วมในภาคกลาง จากชุดข้อมูล เทคโนโลยี จากงานวิจัยและนวัตกรรม เตรียมรับมือและเฝ้าระวังภัยภัยจากพายุ
วช. นำ 3 ผลงานที่ได้รับรางวัลเลิศรัฐ 2568 เปิดเวทีเสวนา NRCT Talk ขับเคลื่อนงานวิจัยและนวัตกรรมสู่สังคมยั่งยืน
วว. นำเสนอผลงานวิจัยนวัตกรรมเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์สมุนไพร พร้อมอบรมฟรี ! ในงานมหกรรมสมุนไพรแห่งชาติ
ศูนย์โอมิกส์แห่งชาติ สวทช. นำไทยสู่เศรษฐกิจชีวภาพ ด้วยเทคโนโลยีชีวภาพขั้นสูง
TWPC จับมือ PTT เดินหน้าลดคาร์บอน ลงนาม MOU โครงการ "Decarbonizing Thailand Partnership" ขับเคลื่อนสู่ Net Zero ในปี 2050
มูลนิธิกสิกรไทย จับมือมหาวิทยาลัยศิลปากร และ บริษัท เอส แอนด์ เจ อินเตอร์เนชั่นแนล เอนเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน)
บพข.จับมือ เคมีแมน พัฒนา 'รถบรรทุกไร้คนขับ' ต้นแบบคันแรกของไทย
จุฬาฯ จับมือ NIA ปั้น "ผู้ประกอบการรุ่นใหม่ในรั้วมหาวิทยาลัย" สร้างเวทีบ่มเพาะนวัตกรรมและธุรกิจ Startup จากงานวิจัยสู่เชิงพาณิชย์