สภาวิศวกร พร้อมด้วย วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ และ กรุงเทพมหานคร รุดลงพื้นที่ตรวจสอบเหตุเพลิงไหม้อาคารพาณิชย์ย่านสำเพ็ง โดยคาดเกิดจากหม้อแปลงระเบิดบริเวณหน้าตลาดสำเพ็ง ก่อนลุกลามไปยังอาคารพาณิชย์ที่จำหน่ายสินค้าประเภทพลาสติก เสื้อผ้า วัสดุที่มีส่วนผสมของใยสังเคราะห์ รวมทั้งแก๊สหุงต้มและสายไฟฟ้าบริเวณใกล้เคียง พร้อมย้ำ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและประชาชน ตระหนักรู้ถึง 6 แนวทางเพื่อลดความเสี่ยงเหตุอัคคีภัยและใช้ชีวิตได้อย่างปลอดภัย ดังนี้ 1. ตระหนักรู้ถึงความเสี่ยงอัคคีภัยในอาคารและชุมชน 2. เว้นระยะห่างจากหม้อแปลงไฟฟ้า 3. มีทางออกหนีไฟที่ปลอดภัย 4.หน้าต่างเหล็กดัดเปิดหนีไฟได้ทุกชั้น 5. เตรียมอุปกรณ์ป้องกันให้พร้อม และ 6. ซ้อมแผนฉุกเฉินอัคคีภัย จะทำให้เกิดความปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สิน
นางสาว บุษกร แสนสุข ประธานคณะทำงานประสานงานด้านภัยพิบัติจากอัคคีภัย สภาวิศวกร เผยว่า จากเหตุเพลิงไหม้อาคารพาณิชย์ย่านสำเพ็ง เมื่อช่วงบ่ายวันที่ 26 มิถุนายน 2565 จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตจำนวน 2 รายนั้น จากข้อมูลการเกิดเหตุและการประเมินสถานการณ์ คาดว่าเกิดจากหม้อแปลงบริเวณหน้าตลาดสำเพ็ง เกิดภาวะขัดข้องจากการมีความร้อนสูงภายในหม้อแปลง จนเกิดการรั่วไหลหรือระบายออกอย่างรวดเร็วของน้ำมันหม้อแปลง ประกอบกับมีประกายไฟเกิดขึ้น ซึ่งน้ำมันหม้อแปลงติดไฟได้จึงเกิดการลุกไหม้รุนแรงขึ้น ประกอบกับปัจจัยด้านสภาพแวดล้อมที่มีการใช้พื้นที่ด้านล่างหม้อแปลงในการค้าขายและเก็บของ และอาคารพาณิชย์บริเวณใกล้เคียงเป็นร้านจัดจำหน่ายและจัดเก็บสินค้าประเภทพลาสติก กระดาษ วัสดุที่มีส่วนผสมของใยสังเคราะห์ ที่เป็นเชื้อเพลิงอย่างดีจำนวนมาก ตลอดจนมีก๊าซหุงต้มจากร้านอาหาร และสายไฟฟ้า สายสัญญาณระบบต่างๆ จำนวนมาก ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงสำคัญ จึงทำให้เพลิงไหม้ลุกลามไปในหลายคูหา
ดังนั้น เพื่อเป็นการป้องกันเหตุการณ์ในลักษณะดังกล่าวเกิดขึ้นซ้ำในอนาคต ในฐานะ "คณะทำงานประสานงานด้านภัยพิบัติจากอัคคีภัย สภาวิศวกร" ส่วนงานที่ทำหน้าที่ตรวจสอบพร้อมหาแนวทางป้องกันเหตุจากอัคคีภัยตามหลักวิศวกรรม จึงมีข้อเสนอแนะถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและภาคประชาชนได้ตระหนักรู้ถึงความเสี่ยงที่เกิดขึ้น สู่การวางแผนป้องกันเพื่อลดความเสี่ยงเหตุอัคคีภัยและสามารถใช้ชีวิตร่วมกันได้อย่างปลอดภัยใน 6 แนวทาง ดังนี้
1. "ตระหนักรู้ถึงความเสี่ยงอัคคีภัยในอาคารและชุมชน" ประชาชนทุกคน ผู้ใช้อาคาร เจ้าของอาคาร จะต้อง ตระหนักรู้ถึงความเสี่ยงอันตรายอัคคีภัยที่มีในอาคาร บ้านเรือนของตนด้วยการ ประเมินความเสี่ยง ค้นหาจุดที่เป็นอันตรายที่จะทำให้เกิดอัคคีภัย และลดความเสี่ยง ใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าที่ได้มาตรฐานและใช้งานให้ถูกต้อง ระมัดระวังตรวจสอบแบตเตอรี่ที่ใช้กับอุปกรณ์ในชีวิตประจำวันหรือใช้เป็นพลังงานสำรองต่างๆ ลดหรือควบคุมปริมาณการจัดเก็บเชื้อเพลิงและสารไวไฟในอาคาร เป็นต้น นอกจากความเสี่ยงที่อยู่ภายในอาคารตนเองแล้ว ยังต้องประเมินความเสี่ยง ในชุมชนที่อยู่อาศัยโดยรอบด้วย ซึ่งอาจจะเกิดเพลิงไหม้ อาคารข้างเคียงหรือแม้แต่เกิดที่หน้าอาคารของตนอย่างเช่นกรณีนี้จนทำให้ไม่สามารถอพยพหนีไฟออกไปได้
2. "เว้นระยะห่างจากหม้อแปลงไฟฟ้า" ตามมาตรฐานงานติดตั้งไฟฟ้า กรมโยธาธิการและผังเมือง ว่าด้วยการติดตั้งหม้อแปลงฉนวนของเหลวติดไฟได้ ควรมีการปิดกั้นเพื่อป้องกันไฟที่เกิดจากของเหลวหม้อแปลง ลุกลามไปติดอาคารหรือส่วนของอาคารที่ติดไฟได้ ส่วนที่มีไฟฟ้าด้านแรงสูง จะต้องอยู่ห่างจากโครงสร้างอื่นไม่น้อยกว่า 1.80 เมตร เพื่อป้องกันการเหนี่ยวนำของกระแสไฟฟ้าหรือไฟรั่ว ที่อาจจะก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สิน ในกรณีที่หม้อแปลงไฟฟ้าติดตั้งอยู่ในชุมชน จะต้องช่วยกัน ดูแลสังเกตการชำรุดเสียหาย ไม่ตั้งสิ่งของกีดขวาง ลุกล้ำ ติดชิดเสา/รั้วหม้อแปลงไฟฟ้า เพื่อให้มีระยะปลอดภัย และให้เจ้าหน้าที่สามารถเข้าทำการตรวจสอบ บำรุงรักษาได้สะดวก หรือถ้าเกิดเหตุฉุกเฉินจะสามารถเข้าควบคุมหรือระงับเพลิงได้โดยสะดวกรวดเร็ว
3. "มีทางออกหนีไฟปลอดภัย" อาคารขนาดเล็กก็ต้องมีทางออกหนีไฟ ตามกฎกระทรวงฉบับที่ 55 (พ.ศ. 2543) ออกความตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 ส่วนที่ 4 "บันไดหนีไฟ" ในข้อที่ 27 ได้ระบุไว้ว่า "อาคารที่สูงตั้งแต่ 4 ชั้นขึ้นไปและสูงไม่เกิน 23 เมตร หรืออาคารที่สูง 3 ชั้นและมีดาดฟ้าเหนือขั้นที่ 3 ที่มีพื้นที่เกิน 16 เมตร นอกจากมีบันไดของอาคารตามปกติแล้ว ต้องมีบันไดหนีไฟที่ทำด้วยวัสดุทนไฟอย่างน้อย 1 แห่ง และต้องมีทางเดินไปยังบันไดหนีไฟนั้นได้โดยไม่มีสิ่งกีดขวาง" และข้อที่ 28 ระบุไว้ว่า "บันไดหนีไฟต้องมีความลาดชันน้อยกว่า 60 องศา เว้นแต่ตึกแถวและบ้านแถวที่สูงไม่เกิน 4 ชั้น ให้มีบันไดหนีไฟที่มีความลาดชันเกิน 60 องศาได้ และต้องมีชานพักบันไดทุกชั้น"
4. "หน้าต่างเหล็กดัดแบบเปิดได้" เพื่อให้เป็นอีกหนึ่งเส้นทางหนีไฟได้ หากเกิดเหตุเพลิงไหม้เกิดภายในอาคารบ้านเรือน หรือบริเวณหน้าบ้านจนไม่สามารถเข้าออกได้ปกติ หน้าต่างที่ถูกออกแบบมาในลักษณะที่เปิดได้ นอกจากจะช่วยให้บุคคลในบ้านสามารถช่วยเหลือตัวเองได้แล้ว ยังเป็นช่องทางสำคัญที่ทำให้เจ้าหน้าที่สามารถเข้าช่วยเหลือบุคคล ตลอดจนระงับเหตุได้รวดเร็วยิ่งขึ้น อ้างอิงตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร กฎกระทรวงฉบับที่ 18 พ.ศ. 2530 "ข้อ 21 ทวิ ในกรณีที่มีการติดตั้งลูกกรง เหล็กดัด หรือสิ่งอื่นที่มีลักษณะทำนองเดียวกันที่ประตู หน้าต่าง หรือที่ด้านนอกหรือด้านในของอาคารตั้งแต่ชั้นที่สองขึ้นไป อันเป็นการกีดขวางการหนีออกจากอาคารหรือการช่วยเหลือผู้ที่อยู่ในอาคารเมื่อเกิดอัคคีภัยโดยไม่มีช่องทางอื่นที่จะออกสู่ภายนอกได้ ให้ผู้ได้รับใบอนุญาตหรือผู้ดำเนินการจัดให้มีช่องทางที่เปิดออกสู่ภายนอกได้ทันที ขนาดกว้างไม่น้อยกว่า 0.60 เมตร ยาวไม่น้อยกว่า 0.80 เมตร อย่างน้อยหนึ่งช่องทางในแต่ละชั้นของอาคารหรือของคูหา"
5. เตรียมพร้อม "อุปกรณ์ป้องกัน" เพราะเหตุเพลิงไหม้เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ทั้งภายในและภายนอกอาคาร ดังนั้น ประชาชนจึงควรเตรียมพร้อมรับมือเหตุการณ์ดังกล่าว ด้วยการติดตั้งอุปกรณ์ป้องกันอัคคีภัย ได้แก่ อุปกรณ์ตรวจจับควันแบบมีเสียงดังในตัว (Smoke Alarm) สำหรับบ้านเรือนอาคารขนาดเล็ก หรือเป็นระบบแจ้งเหตุเพลิงไหม้สำหรับอาคารขนาดใหญ่ และติดตั้งอุปกรณ์ดับเพลิง เช่น ถังดับเพลิงมือถือ เป็นต้น
6. "แผนฉุกเฉินอัคคีภัย" ในทุกอาคาร บ้านเรือน ชุมชน จะต้องมีแผนฉุกเฉินอัคคีภัย รวมไปถึง มีเบอร์ติดต่อฉุกเฉินของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ เพื่อให้สามารถติดต่อขอความช่วยเหลือหรือสามารถแจ้งเหตุเพื่อป้องกันการลุกลามได้ และมีการซ้อมแผนฉุกเฉินเป็นประจำทุกปี ฝึกซ้อมการประสานงานกับหน่วยงานที่จะเข้ามาช่วยเหลือ สนับสนุน อย่าให้เกิดความคล่องตัว ปฏิบัติได้อย่างเมื่อเกิดเหตุขึ้น
อย่างไรก็ดี หากประชาชนพบเห็นความไม่ปลอดภัยเชิงโครงสร้างสาธารณะหรือมีข้อสงสัยเกี่ยวกับงานด้านวิศวกรรมสามารถติดต่อได้ที่ สายด่วนสภาวิศวกร 1303 เพื่อให้ทางสภาวิศวกรจัดทีมผู้เชี่ยวชาญร่วมตอบทุกข้อสงสัย หรือส่งทีมวิศวกรอาสาร่วมลงพื้นที่ตรวจสอบความไม่ปลอดภัยดังกล่าว ทั้งนี้ สภาวิศวกร นำทีมโดย รศ. ดร.ปิยะบุตร วานิชพงษ์พันธุ์ นายกสภาวิศวกร สมัยที่ 7 พร้อมด้วย ดร.ธเนศ วีระศิริ นายกวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ และ ผู้แทนจาก กทม. ได้ร่วมลงพื้นที่ตรวจสอบความเสียหายของอาคารพาณิชย์ย่านสำเพ็ง พร้อมให้คำแนะนำในการแก้ไขตามหลักวิศวกรรมแก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงประชาชนในพื้นที่เพื่อป้องกันเหตุซ้ำรอยในอนาคต เมื่อเร็วๆ นี้ บริเวณจุดเกิดเหตุ ถนนราชวงศ์ เขตสัมพันธวงศ์ กทม.
ติดตามข่าวสารและความรู้ใกล้ตัวเกี่ยวกับงานวิศวกรรมตลอดจนความเคลื่อนไหวของสภาวิศวกร ได้ที่สายด่วน 1303 ไลน์ไอดี @coethai เพจเฟซบุ๊ก https://web.facebook.com/coethailand ช่องทางยูทูบ (YouTube Channel) สภาวิศวกร Council of Engineers Thailand และเว็บไซต์ https://coe.or.th
"สมจิตร์ เปี่ยมเปรมสุข" STI รับมอบเกียรติบัตรในฐานะ "วิศวกรอาสา" ร่วมมือ กทม. ช่วยเหลือตรวจสอบอาคาร และให้คำแนะนำในเหตุการณ์แผ่นดินไหว
AIT ส่งทีมวิศวกรเข้าร่วมสำรวจโรงเรียนวิสุทธิกษัตรี เพื่อตรวจสอบโครงสร้าง ความแข็งแรงและความปลอดภัยของอาคารเรียน
บริษัท สโตนเฮ้นจ์ อินเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ STI จัดอบรมการใช้เครนอย่างปลอดภัยในการก่อสร้าง เพื่อยกระดับมาตรฐานอุตสาหกรรมก่อสร้างไทย
STI GROUP ร่วมสนับสนุนกิจกรรม วิศวกรอาสา วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย (วสท.) เพื่อฟื้นฟูพื้นที่ผู้ประสบอุทกภัย อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย
SPU ปรบมือให้! ไกรศร วิเชียรสาร นศ.วิศวกรรมโยธา คว้ารางวัลเรียนดีจาก วสท. พร้อมได้รับเลือกเข้าค่ายอบรมสุดพิเศษ EIT-TOC Academic Camp 2024
นักศึกษา เก่ง! สาขาวิศวกรรมโยธา ม.ศรีปทุม เข้ารับพระราชทานเหรียญรางวัลเรียนดี ประจำปี 2566
"ซันโกร" ร่วมกับ วสท. พัฒนาตลาดพลังงานหมุนเวียนไทยอย่างมั่นคงและปลอดภัย
วว. / BIM ร่วมผลักดันการทำงานระบบแบบจำลองสารสนเทศของไทยให้ทัดเทียมสากล