กรมประมงเปิดให้ขอรับใบอนุญาตทำการประมงพื้นบ้านครั้งแรกของประเทศไทย ประเดิมรอบปีการประมง 2566 - 2567 พร้อมอำนวยความสะดวกด้วยการเพิ่มช่องทางใหม่ สมัครด้วยตนเองได้ง่ายผ่านแอปพลิเคชัน"ระบบการออกใบอนุญาตทำการประมงพื้นบ้าน" ตั้งแต่วันนี้ - 31 ธันวาคม 65 นี้
นายบัญชา สุขแก้ว รองอธิบดีกรมประมง เปิดเผยว่า ปัจจุบันเรือประมงพื้นบ้านทั้งฝั่งอ่าวไทยและฝั่งทะเลอันดามัน มีการขึ้นทะเบียนจำนวนทั้งสิ้น 49,800 ลำ (ข้อมูล ณ วันที่ 23 ตุลาคม 2565) การดำเนินการนำเรือประมงพื้นบ้านเข้าสู่ระบบ เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมและติดตามการทำการประมง และรวบรวมข้อมูลเพื่อใช้เป็นฐานข้อมูลในการรับความช่วยเหลือจากทางภาครัฐ เพื่อให้เกิดการบริหารจัดการทรัพยากรอย่างสมดุลและยั่งยืน กรมประมงจึงได้เตรียมกำหนดแนวทางการออกใบอนุญาตทำการประมงพื้นบ้าน รอบปีการประมง 2566 - 2567 ขึ้นเป็นครั้งแรกของประเทศไทย โดยผู้ที่มีความประสงค์จะขอรับใบอนุญาตทำการประมงพื้นบ้านต้องมีสิทธิทำการประมงในน่านน้ำไทย ไม่มีลักษณะต้องห้ามเกี่ยวกับการทำผิดกฎหมายประมง และมีกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองในเรือประมงที่จะขอรับใบอนุญาต โดยเรือประมงต้องมีทะเบียนเป็นเรือไทยและผ่านตรวจวัดขนาดและจัดทำอัตลักษณ์กับกรมเจ้าท่าเรียบร้อยแล้ว โดยระยะแรกจะพิจารณาให้เรือที่มีขนาดตั้งแต่ 3 ตันกรอส ขึ้นไปก่อน ซึ่งมีเรือประมงอยู่ประมาณ 15,000 ลำ
เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกให้กับพี่น้องชาวประมงพื้นบ้าน ลดภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการ กรมประมงจึงได้มีการพัฒนา "ระบบการออกใบอนุญาตทำการประมงพื้นบ้าน" หรือ Small Scale Service : SSS ในการบริหารจัดการข้อมูล ให้สามารถจัดเก็บและวิเคราะห์ผลได้อย่างครบถ้วน ถูกต้องเป็นปัจจุบัน และสืบค้นได้ง่าย รวมถึงรองรับการบูรณาการความร่วมมือ การแลกเปลี่ยนข้อมูล และการเชื่อมโยงข้อมูลกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้อย่างมีประสิทธิภาพในอนาคต โดยชาวประมงสามารถลงทะเบียนขอรับใบอนุญาตทำการประมงพื้นบ้านผ่านช่องทางออนไลน์ได้ 2 ช่องทาง คือ เว็บไซต์ http://sss.fisheries.go.th หรือ Application "ระบบการออกใบอนุญาตทำการประมงพื้นบ้าน" ทั้งระบบปฏิบัติการ Android และ iOS โดยสามารถลงทะเบียนเข้าใช้งานระบบได้ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2565 นอกจากนี้ คาดการณ์ว่าจะสามารถให้ยื่นคำขอพร้อมเอกสารหลักฐานด้วยตนเองผ่านระบบ SSS ได้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2566 - 28 กุมภาพันธ์ 2566 แต่ทั้งนี้ หากชาวประมงไม่สะดวกยื่นคำขอผ่านระบบ SSS สามารถติดต่อ ณ สำนักงานประมงพื้นที่กรุงเทพมหานคร หรือ สำนักงานประมงอำเภอแห่งท้องที่ที่ประสงค์จะทำการประมงเพื่อยื่นคำขอรับใบอนุญาตได้ ซึ่งจะเริ่มแจ้งผลการพิจารณาการขอรับใบอนุญาตฯ ในวันที่ 1 มีนาคม 2566 และมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2566 เป็นต้นไป
รองอธิบดีกล่าวทิ้งท้ายว่า กรมประมงขอประชาสัมพันธ์ให้พี่น้องชาวประมงพื้นบ้านที่เป็นเจ้าของเรือประมงขนาดตั้งแต่ 3 ตันกรอสขึ้นไป สามารถลงทะเบียนเข้าใช้งานระบบ SSS ได้ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2565 และคาดว่าจะเปิดให้มีการยื่นคำขอรับใบอนุญาตฯ ได้ตั้งแต่ 1 มกราคม 2566 เป็นต้นไป ทั้งนี้ ปัจจุบันจากการที่กรมประมงเปิดให้มีการลงทะเบียนตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2565 พบว่ามีผู้สนใจลงทะเบียนแล้วเกือบ 1,500 ลำ หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ กองบริหารจัดการทรัพยากรและกำหนดมาตรการ กรมประมง โทรศัพท์ 0 2561 2341 หรือ 0 2561 2193 ในวันและเวลาทำการ หรือสแกน QR Code Open chat "คลินิกประสานงานการขอรับใบอนุญาตทำการประมงพื้นบ้าน" ได้ตลอด 24 ชั่วโมง หรือ ณ สำนักงานประมงอำเภอ และสำนักงานประมงจังหวัดชายทะเลทุกแห่ง
กรมประมง จับมือ ม.เกษตร เปิดเกมรุกยกระดับสินค้าประมง ขยายโอกาสทางการตลาด ด้วยกลยุทธ์การขายยุคใหม่
กรมประมง ส่งเจ้าหน้าที่พร้อมยานพาหนะช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย 4 จังหวัดภาคเหนือ พร้อมสั่งการเตรียมพร้อม 24 ชั่วโมงทุกพื้นที่เสี่ยงพายุ "วิภา"
กรมประมงโชว์ไอเดียแปรรูป "สาหร่ายผักกาดทะเล" พลิกโฉมสู่แพ็กเกจจิงรักษ์โลกและสารสกัดเพิ่มคุณค่าทางอาหาร ตอบโจทย์เทรนด์ผู้บริโภคยุคใหม่
กรมประมง เตือนเกษตรกรเฝ้าระวังโรคสัตว์น้ำที่มาพร้อมกับหน้าฝน พร้อมแนะแนวทางการเลี้ยงและการป้องกัน เพื่อช่วยลดความสูญเสีย
กรมประมง…หนุนเกษตรกรเปลี่ยน "บ่อกุ้งร้าง" เพื่อสร้างรายได้ด้วยการเลี้ยง "ปูทะเล"
อธิบดีกรมประมงมอบรางวัลงานประกวดปลาคาร์ป เนื่องในงาน "วันประมงน้อมเกล้าฯ ครั้งที่ 35"
กรมประมง…คว้ารางวัล GDCC GOV Cloud 2568 พัฒนาระบบ"การออกใบอนุญาตประมงพื้นบ้าน" ยกระดับบริการเศรษฐกิจสู่ยุคดิจิทัล
กรมประมง…หนุน "เกษตรกรสร้างรายได้เสริมจากการแปรรูปสัตว์น้ำ" ยกระดับการประกอบอาชีพให้มีความมั่นคงอย่างยั่งยืน
กรมประมง ผนึกกำลังสมาคม TABA ลงนาม บันทึกข้อตกลงความร่วมมือ หนุนการใช้ปัจจัยการผลิตทางการประมงที่มีคุณภาพ มาตรฐาน ถูกกฎหมาย ปลอดภัยต่อสัตว์น้ำและผู้บริโภค