บมจ.ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น ("WHA Group") แจ้งงบผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 1/2566 บริษัทฯ มีรายได้รวมและส่วนแบ่งกำไร 2,440.7 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 522.7 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้รวมและส่วนแบ่งกำไรปกติ 2,420.1 ล้านบาท และกำไรปกติ 505.0 ล้านบาท จาก 4 กลุ่มธุรกิจ รับอานิสงส์การย้ายฐานการผลิตของจีน-ญี่ปุ่น-สหรัฐฯ หนุนดีมานด์ของโครงการ Built-to-Suit และโรงงาน/คลังสินค้าสำเร็จรูป รวมทั้งพื้นที่ในนิคมอุตสาหกรรมให้เพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก ด้านธุรกิจไฟฟ้า ฟื้นตัวโดดเด่นจากต้นทุนก๊าซธรรมชาติลดลง และค่า FT ปรับตัวเพิ่มขึ้น ล่าสุดที่ประชุมผู้ถือหุ้นไฟเขียวจ่ายปันผลงวดปี 2565 เพิ่มเติมอีก 0.1003 บาทต่อหุ้น กำหนดจ่ายเงินปันผล 25 พ.ค. นี้
บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA Group รายงานผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 1 /2566 มีรายได้รวมและส่วนแบ่งกำไรทั้งสิ้น 2,440.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.8% และกำไรสุทธิ 522.7 ล้านบาท ลดลง 20.3% โดยเป็นรายได้รวมและส่วนแบ่งกำไรปกติ 2,420.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.8% และกำไรปกติ 505.0 ล้านบาท ลดลง 22.7% ทั้งนี้ในไตรมาส 1/2565 บริษัทฯ มีการบันทึกกำไรพิเศษจากการจำหน่ายสินทรัพย์ประเภทดาต้าเซ็นเตอร์จากธุรกิจดิจิทัล จำนวน 345 ล้านบาท ซึ่งหากไม่นับรวมกำไรพิเศษดังกล่าวในไตรมาส 1/2565 กำไรปกติจะเพิ่มขึ้น 63.6% พร้อมกันนี้ บริษัท ดับบลิวเอชเอ เวนเจอร์ โฮลดิ้ง จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของกลุ่มบริษัท ได้รับการอนุมัติให้เข้าลงทุนในหุ้นเพิ่มทุนของ บมจ.สยามราชธานี (SO) สัดส่วน 20% มูลค่า 912 ล้านบาท โดยบริษัทฯ ได้เล็งเห็น Synergy ที่เกิดจาก Ecosystem ที่ครบวงจรของบริษัทฯ และความเป็นผู้นำด้าน Outsourcing ของ SO ซึ่ง Synergy ดังกล่าวไม่เพียงแต่จะเกิดขึ้นรวมทั้งธุรกิจในปัจจุบันของบริษัทฯ ขณะเดียวกัน ยังช่วยส่งเสริมการพัฒนาธุรกิจในอนาคตตามภารกิจ Mission to the Sun ด้วยเช่นกัน
นางสาวจรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA Group เปิดเผยว่า การเติบโตของผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/2566 ถือเป็นการตอกย้ำความสำเร็จการเป็นผู้นำใน 4 กลุ่มธุรกิจ ทั้งโลจิสติกส์ นิคมอุตสาหกรรม สาธารณูปโภคและพลังงาน ตลอดจนดิจิทัล โซลูชัน ทั้งในประเทศไทยและเวียดนามได้เป็นอย่างดี
ธุรกิจโลจิสติกส์ ผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 1/2566 เติบโตอย่างโดดเด่น รับอานิสงส์จากความต้องการเช่าพื้นที่คลังสินค้าคุณภาพสูงที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด ส่งผลให้สามารถลงนามสัญญาเช่าโครงการ Built-to-Suit และโรงงาน/คลังสินค้าสำเร็จรูป เพิ่มสูงขึ้นจำนวน 64,228 ตารางเมตร พร้อมทั้งมีการทำสัญญาเช่าระยะสั้นที่ให้ผลตอบแทนสูงรวม จำนวน 88,608 ตารางเมตร ส่งผลให้ ณ สิ้นไตรมาส 1/2566 มีพื้นที่คลังสินค้าภายใต้การถือครองและบริหารทั้งหมด 2,771,151 ตารางเมตร และมีอัตราการเช่าพื้นที่ (Occupancy Rate) โดยรวมอยู่ที่ร้อยละ 90.4 ทั้งนี้จากปัจจัยดังกล่าว ส่งผลให้ในไตรมาส 1/ 2566 บริษัทฯ สามารถรับรู้รายได้และส่วนแบ่งกำไรจากธุรกิจให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ทั้งสิ้น 249.6 ล้านบาท
นอกจากนี้ หลังจากเปิดโครงการดับบลิวเอชเอ เมกกะ โลจิสติกส์ เซ็นเตอร์ เทพารักษ์ กม. 21 ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นที่รวมกว่า 400 ไร่ เฟส 1 ในปีที่ผ่านมา ได้การตอบรับที่ดีโดยมีกลุ่มลูกค้าสนใจเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งลูกค้าในกลุ่มผู้ให้บริการด้านโลจิสติกส์ (3PL) และผู้ประกอบการในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ จากดีมานด์ที่เพิ่มขึ้นดังกล่าวส่งผลให้บริษัทฯ ต้องเร่งดำเนินการพัฒนาโครงการในส่วนของเฟส 2 โดยปัจจุบันมีกลุ่มลูกค้าให้ความสนใจและมีการจองพื้นที่เช่าเข้ามาแล้วบางส่วน อาทิ ผู้ให้บริการโลจิสติกส์ ผู้ประกอบการด้านการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ รวมถึงลูกค้าผู้ผลิต/จำหน่ายอุปกรณ์สัตว์เลี้ยงและอาหารสัตว์ เป็นต้น
อีกทั้ง โครงการดับบลิวเอชเอ เมกกะ โลจิสติกส์ เซ็นเตอร์ บางนา-ตราด กม. 23 (ขาเข้า) ที่แม้จะเพิ่งมีการเปิดตัวโครงการได้ไม่นาน แต่ด้วยทำเลที่ตั้งของโครงการที่มีศักยภาพ ทำให้โครงการดังกล่าวได้รับความสนใจจากลูกค้าเป็นอย่างมาก และขณะนี้มีลูกค้าจองและลงนามในสัญญาเช่าล่วงหน้าในการพัฒนา Showroom สำหรับแสดงสินค้าแบบ Built-to-Suit บนพื้นที่ของโครงการดังกล่าวไปแล้วอีกด้วย
ขณะเดียวกันในส่วนของธุรกิจ Office Solutions ปัจจุบันบริษัทฯ มีการพัฒนาโครงการอาคารสำนักงานให้เช่าสมัยใหม่ย่านใจกลางเมือง จำนวน 6 แห่ง บนพื้นที่รวมกว่า 120,000 ตารางเมตร นอกจากนี้ยังได้มีการลงนามในสัญญากับผู้เช่าเพื่อพัฒนาโครงการ Medical Center แบบ Built-to-Suit บนพื้นที่กว่า 6,900 ตารางเมตร โดยล่าสุด บริษัท ดับบลิวเอชเอ เคดับบลิว อัลไลแอนซ์ จำกัด (WHAKW) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของกลุ่มบริษัท และบริษัท โตเกียว ทาเทโมโนะ จำกัด (TTA) ได้จัดตั้งบริษัทร่วมทุน เพื่อลงทุนพัฒนาพื้นที่อาคารสำนักงานในประเทศไทย ภายใต้โครงการแรก "โครงการ WHAKW S25" บนถนนสุขุมวิท โดยคาดว่าจะดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จภายในไตรมาส 3/2566
นอกจากนี้ บริษัท ดับบลิวเอชเอ ไดวะ โลจิสติกส์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ซึ่งเป็นการร่วมทุนระหว่างบริษัทฯ และบริษัท ไดวะ เฮ้าส์ กรุ๊ป ได้รับความไว้วางใจให้เป็นผู้ออกแบบและพัฒนาร้านค้าปลีกยูนิโคล่ โรดไซด์ ลาดกระบัง ซึ่งถือเป็นอาคารเพื่อการค้าปลีกแบบ Built-to-Suit บนพื้นที่ขนาด 1,019 ตารางเมตร ที่ถูกออกแบบให้ตอบสนองการใช้งานพื้นที่ได้อย่างลงตัว
ส่วนแผนการขายทรัพย์สิน และ/หรือสิทธิการเช่าทรัพย์สินให้กับกองทรัสต์ WHART ในปี 2566 นั้น บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายจำหน่ายทรัพย์สิน คิดเป็นพื้นที่เช่ารวมทั้งสิ้นประมาณ 142,000 ตารางเมตร มูลค่าประมาณ 3,566.5 ล้านบาท โดยบริษัทฯ มีแผนนำเสนอที่ประชุมผู้ถือหน่วยกอง WHART เพื่อขออนุมัติในช่วงไตรมาสที่ 2/2566
ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม ณ สิ้น ไตรมาส 1/2566 บริษัทฯ มียอดขายที่ดินรวม 487 ไร่ (ไทย 379 ไร่ / เวียดนาม 108 ไร่) และมียอดการเซ็น MOU รวม 753 ไร่ (ไทย 445 ไร่/เวียดนาม 308 ไร่) ส่งผลให้บริษัทฯรับรู้รายได้จากธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมรวมทั้งสิ้น 1,052.5 ล้านบาท ถือว่าเติบโตอย่างโดดเด่นเมื่อเทียบกับปีก่อน เนื่องจากสามารถรับรู้รายได้จากการโอนที่ดินเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ สอดรับกับภาพรวมของเศรษฐกิจและทิศทางการลงทุนของประเทศไทย ที่ได้รับอนานิสงส์จากกระแสการย้ายฐานการทุนที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อลดผลกระทบจากปัญหาความตึงเครียดจากสงครามการค้าระหว่างจีน-สหรัฐฯ สงครามยูเครน-รัสเซียที่ยืดเยื้อ รวมถึงการปฏิรูปการเมืองในจีน ที่ทำให้ระบบห่วงโซ่อุปทานโลกได้ปรับเปลี่ยนไป ด้วยเหตุนี้ หลากหลายอุตสาหกรรมจึงต่างต้องจัดระบบการผลิตครั้งใหญ่และทำให้ประเทศผู้ลงทุนหลัก อาทิ จีน ญี่ปุ่น และสหรัฐฯ หันมาเลือกประเทศไทยเป็นฐานการผลิต สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อศักยภาพของประเทศไทย ที่เป็นฐานการผลิตและการลงทุนที่สำคัญของภูมิภาคที่พร้อมรองรับการลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่ๆ โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย (S-Curve) อาทิ ยานยนต์ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ และดิจิทัล ส่งผลให้ ณ สิ้นไตรมาส 1/2566 บริษัทฯ มียอดขายที่ดินรอการโอนกรรมสิทธิ์ (Backlog) ในมือแล้วกว่า 675 ไร่
"ปัจจุบัน WHA Group มีนิคมอุตสาหกรรมที่อยู่ระหว่างดำเนินการในประเทศไทย จำนวน 11 แห่ง ซึ่งรวมถึงนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ ระยอง 36 (1,280 ไร่) ที่ดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2565 และยังมีนิคมอุตสาหกรรมใหม่อีก 2 แห่ง ได้แก่ นิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล เอสเตท ระยอง เฟส 1 (1,100 ไร่) ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง และนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ สระบุรี 2 (2,400 ไร่) ซึ่งคาดว่าจะเริ่มก่อสร้างในปี 2569 นอกจากนี้ยังมีการขยายโครงการนิคมอุตสาหกรรมอีก 2 โครงการ ได้แก่ โครงการขยายนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อีสเทิร์นซีบอร์ด 3 เฟส 3 จำนวน 630 ไร่ และได้มีการขยายโครงการนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ ระยอง 36 เพิ่มขึ้นจำนวน 460 ไร่ ซึ่งพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมของบริษัทฯ ในแต่ละทำเลนั้นได้รับความสนใจจากลูกค้าจากหลากหลายอุตสาหกรรม อาทิ กลุ่มลูกค้าผู้ผลิตวัสดุแพคเกจและบรรจุภัณฑ์ ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายชิ้นส่วนยานยนต์ ผู้ผลิตเครื่องมืออุตสาหกรรม เป็นต้น ตลอดจนผู้ผลิตอุปกรณ์การเกษตรและอุปกรณ์ขนย้ายดินคุณภาพสูง ที่ได้มีการลงนามในสัญญาซื้อขายที่ดินและลงนามในสัญญาเช่าโรงงานในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมของบริษัทฯ ไปแล้วบางส่วน"
สำหรับนิคมอุตสาหกรรมในประเทศเวียดนาม บริษัทฯ ยังคงมุ่งมั่นขยายนิคมอุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่อง ณ ไตรมาส 1/2566 บริษัทฯ มียอดขายที่ดินรวม 108 ไร่ และยอดการเซ็น MOU รวม 308 ไร่ สอดคล้องกับการเติบโตทางเศรษฐกิจของเวียดนามที่มีศักยภาพในการดึงดูดนักลงทุนจากต่างชาติ ปัจจุบัน บริษัทฯ มีพื้นที่เขตอุตสาหกรรมที่เปิดดำเนินการแล้ว 1 แห่ง และจะขยายโครงการใหม่ในจังหวัดหลักๆ ของประเทศเวียดนาม อีก 2 โครงการ รวมเป็นพื้นที่ 20,950 ไร่ (3,350 เฮกตาร์) สำหรับเขตอุตสาหกรรมที่ได้เปิดดำเนินการไปแล้ว ได้แก่ เขตอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ โซน1-เหงะอาน เฟส 1 ขนาด 900 ไร่ ซึ่งปัจจุบันได้มีการขายพื้นที่เขตอุตสาหกรรมให้แก่ลูกค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ การแปรรูปอาหาร วัสดุก่อสร้าง อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ไปแล้วกว่าร้อยละ 77 ของพื้นที่ในเฟส 1 ส่งผลให้บริษัทฯ จึงต้องเร่งดำเนินการก่อสร้างเฟส 2 บนพื้นที่ขนาด 2,215 ไร่ ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างก่อสร้าง และเริ่มเสนอโครงการต่อลูกค้าแล้วบางส่วน
นอกจากนี้ บริษัทฯ อยู่ระหว่างขยายโครงการเขตอุตสาหกรรมใหม่ ในจังหวัดหลักๆ ของเวียดนาม อีก 2 โครงการ ซึ่งได้ลงนามในบันทึกข้อตกลงกับทางการองค์กรท้องถิ่นของประเทศเวียดนามเพื่อพัฒนาเขตอุตสาหกรรมอีก 2 แห่ง ได้แก่ เขตอุตสาหกรรม WHA Smart Technology Industrial Zone - Thanh Hoa พื้นที่ 5,320 ไร่ โดยกำหนดเริ่มดำเนินการก่อสร้างในปี 2567 หรือต้นปี 2568 และเขตอุตสาหกรรม WHA Smart Eco Industrial Zone - Quang Nam พื้นที่ 2,500 ไร่ ซึ่งคาดว่าจะได้รับการอนุมัติใบอนุญาตต่างๆ ในปี 2569 หรือ 2570 และจะเริ่มดำเนินการก่อสร้างตามแผนการลงทุนในระยะยาวของบริษัทฯ ในอนาคต
ธุรกิจสาธารณูปโภค (น้ำ) มีการรับรู้รายได้ในไตรมาส 1/2566 จากธุรกิจสาธารณูปโภครวม เท่ากับ 643.3 ล้านบาท และมีปริมาณยอดขายและบริหารน้ำทั้งหมดในประเทศไทยและต่างประเทศรวม 35 ล้านลูกบาศก์เมตร แบ่งเป็นสัดส่วนปริมาณยอดจำหน่ายน้ำในประเทศเท่ากับ 28 ล้านลูกบาศก์เมตร และยอดจำหน่ายน้ำในต่างประเทศเท่ากับ 7 ล้านลูกบาศก์เมตร ทั้งนี้แม้ว่าปริมาณยอดจำหน่ายน้ำในประเทศ มีการชะลอตัวลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน จากการปิดซ่อมบำรุงและการหยุดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (Commercial/Maintenance Shutdown) ของลูกค้ากลุ่มปิโตรเคมีบางราย กอปรกับการดำเนินการที่ยังไม่เต็มกำลังการผลิตของลูกค้ากลุ่มโรงไฟฟ้าในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ หากต้นทุนก๊าซธรรมชาติมีการปรับตัวลงในช่วงกลางปี ก็คาดว่าลูกค้ากลุ่มนี้ จะสามารถกลับมาเปิดดำเนินการได้อย่างเต็มกำลังการผลิตมากยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ยังคงได้รับปัจจัยบวกจากการปรับตัวสูงขึ้นของปริมาณยอดจำหน่ายน้ำดิบ (Raw Water) จำนวน 7 ล้านลูกบาศก์เมตร และผลิตภัณฑ์น้ำมูลค่าเพิ่ม (Value-Added Water) จำนวน 1 ล้านลูกบาศก์เมตร ที่เพิ่มขึ้นจากการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) ของ Gulf TS 3 และ TS 4 ในปีที่ผ่านมา และเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา บริษัทฯ ยังได้มีการลงนามในสัญญาซื้อขายน้ำอุตสาหกรรมคุณภาพสูง (Premium Clarified Water) ปริมาณ 2.9 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี กับลูกค้าภายในนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อีสเทิร์นซีบอร์ด 4 (WHA ESIE 4) ด้วยเช่นกัน
นอกจากนี้ บริษัทฯ เริ่มก่อสร้างระบบผลิตน้ำเพื่ออุตสาหกรรมส่วนขยาย มีกำลังการผลิต 3.7 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปีในนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อีสเทิร์นซีบอร์ด 4 (WHA ESIE 4) และคาดว่าจะสามารถเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ในช่วงปลายเดือนมิถุนายนนี้ พร้อมทั้งเริ่มก่อสร้างระบบท่อส่งน้ำอุตสาหกรรม เพื่อส่งน้ำไปยังนิคมอุตสาหกรรม ดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล เอสเตท ระยอง (WHA IER) ในปริมาณการผลิต 4.5 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี ซึ่งคาดว่าการก่อสร้างจะเสร็จสิ้นได้ในไตรมาส 4/2566
ขณะที่ธุรกิจน้ำในประเทศเวียดนาม ณ ไตรมาส 1 ปี 2566 บริษัทฯ มีปริมาณยอดจำหน่ายน้ำเพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากความต้องการใช้น้ำของลูกค้าโครงการ ดวง ริเวอร์ เซอร์เฟส วอเตอร์แพลนท์ (Duong River Surface Water Plant: SDWTP) ทยอยเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง รวมถึงปัจจัยสนับสนุนจากการปรับขึ้นราคาค่าน้ำ ส่งผลให้บริษัทฯ รับรู้ส่วนแบ่งขาดทุนจากโครงการ Doung River ที่ลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน
สำหรับธุรกิจสาธารณูปโภคในประเทศเวียดนาม บริษัทฯ คาดว่ายอดจำหน่ายและบริหารจัดการน้ำเสียมีแนวโน้มที่จะเติบโตเพิ่มขึ้นอีก เนื่องจากความต้องการใช้น้ำของลูกค้าในเขตอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล โซน เหงะอาน เฟส 1 ที่ทยอยเปิดดำเนินการ ประกอบกับแผนขยายธุรกิจสาธารณูปโภคควบคู่ไปกับการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมของบริษัทฯ ได้แก่ เขตอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล โซน เหงะอาน เฟส 2 และเขตอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ ทัญฮว้า รวมถึง เขตอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ กว๋างนาม
ในส่วนของธุรกิจไฟฟ้า ในไตรมาส 1/2566 บริษัทฯ รับรู้ส่วนแบ่งกำไรปกติจากการดำเนินงานและการลงทุนในบริษัทร่วมและบริษัทร่วมค้าไม่นับรวมกำไร/ขาดทุนทางบัญชีจากอัตราแลกเปลี่ยน และรายได้จากธุรกิจพลังงานไฟฟ้าแสงอาทิตย์ในไตรมาส 1/2566 เท่ากับ 293.1 ล้านบาท โดยมาจากการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรปกติจากกลุ่มโรงไฟฟ้า SPP ที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก เนื่องจากได้ประโยชน์จากการปรับขึ้นของค่าไฟฟ้า (Ft) ในช่วงที่ผ่านมา และต้นทุนก๊าซธรรมชาติที่เริ่มปรับตัวลดลง สำหรับกลุ่มโรงไฟฟ้า IPP แม้โรงไฟฟ้า GHECO-One จะมีการปิดซ่อมบำรุงตามแผนงานในช่วงไตรมาสแรกก็ตาม ส่วนแบ่งกำไรของโรงไฟฟ้า IPP นั้นมีการปรับตัวดีขึ้น เมื่อเทียบจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน
ขณะที่ธุรกิจโซลาร์ ไตรมาส 1/2566 บริษัทฯ สามารถรับรู้รายได้จากธุรกิจไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์เท่ากับ 110.7 ล้านบาท และได้ลงนามในสัญญาโครงการพลังงานแสงอาทิตย์เพิ่มอีก 10 สัญญา ซึ่งเป็นโครงการ Private PPA ทั้งหมด คิดเป็นกำลังการผลิตรวม 16 เมกะวัตต์ ส่งผลให้ในไตรมาส 1/2566 บริษัทฯ มีจำนวนสัญญา Private PPA สะสม 149 เมกะวัตต์ ปัจจุบันมีกำลังการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ที่เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ประมาณ 94 เมกะวัตต์ ส่งผลให้มีกำลังการผลิตไฟฟ้ารวมตามสัดส่วนการถือหุ้น ณ สิ้นไตรมาส 1/2566 อยู่ที่ 699 เมกะวัตต์ และ คาดว่าไตรมาส 2/2566 จะมีการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์เพิ่มเติมอีกประมาณ 20 เมกะวัตต์
และเมื่อเร็วๆ นี้ บริษัทฯ ได้รับการคัดเลือกจากคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน ให้ได้สิทธิ์เป็นผู้พัฒนาโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ Feed in Tariff ( FiT ) เฟส 1 สำหรับพลังงานแสงอาทิตย์ จำนวน 5 โครงการ คิดเป็นกำลังการผลิตไฟฟ้าตามสัดส่วนการถือหุ้น 125.4 เมกะวัตต์ แบ่งเป็นโครงการ Solar Farm ปกติ จำนวน 4 โครงการ และโครงการ Solar Farm ร่วมกับระบบกักเก็บพลังงาน (Battery Energy Storage System : BESS) อีกจำนวน 1 โครงการ ทั้งนี้โครงการดังกล่าวเตรียมเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในช่วงปี 2572-2573
"บริษัทฯ เดินหน้าขยายธุรกิจด้านพลังงานทั้งในประเทศไทย เวียดนาม พร้อมมองหาตลาดใหม่ ในประเทศอื่นๆ รวมถึงตั้งเป้านำเทคโนโลยีและนวัตกรรมสมัยใหม่มาประยุกต์ใช้ในการดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่อง เพื่อแสวงหาโอกาสกับธุรกิจ New S-Curve อาทิ ระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ (BESS) ไฮโดรเจน การซื้อขายคาร์บอนและการใช้และกักเก็บคาร์บอน (CCUS) ซึ่งปัจจุบันได้มีความร่วมมือกับพันธมิตรบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และบริษัท เซอร์ทิส เอไอ เอ็นเนอร์จี จำกัด ภายใต้บริษัทร่วมทุน "RENEX TECHNOLOGY" เพื่อดำเนินการประกอบธุรกิจพัฒนาและให้บริการแพลตฟอร์มสำหรับการซื้อขายพลังงานไฟฟ้าโดยตรงระหว่างผู้ผลิตและผู้ใช้ไฟฟ้า (Peer-to-Peer) หรือการซื้อขายพลังงานไฟฟ้าโดยไม่ผ่านคนกลาง โดยใช้ระบบ Two-Sided Bidding Algorithm รวมทั้งเพิ่มความปลอดภัยในการทำธุรกรรมและอำนวยความสะดวกการซื้อขายพลังงานให้กับผู้ผลิตไฟฟ้ารายย่อยกับผู้ใช้พลังงานด้วยเทคโนโลยี Blockchain ซึ่งปัจจุบันมีผู้ประกอบการชั้นนำในนิคมอุตสาหกรรมของบริษัทฯ ให้ความสนใจเข้าร่วมเป็นผู้ซื้อขายพลังงานบนแพลตฟอร์ม RENEX แล้วถึง 54 รายด้วยกัน"
ธุรกิจดิจิทัล ในไตรมาส 1/2566 บริษัทฯ ยังคงมุ่งทรานสฟอร์มองค์กรสู่ดิจิทัล เพื่อก้าวสู่การเป็น Technology Company ตามเป้าหมายในปี 2567 โดยได้ดำเนินการปรับเปลี่ยนองค์กรตั้งแต่การวางกลยุทธ์ทางธุรกิจ ทรัพยากรบุคคล วัฒนธรรม และทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง เพื่อขับเคลื่อนองค์กรให้มีศักยภาพสู่ยุคดิจิทัล นอกจากนี้ยังเพิ่มความสามารถในการเข้าถึงลูกค้าด้วยการนำเทคโนโลยีมาช่วยให้องค์กรก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง ขณะเดียวกัน บริษัทฯ ยังได้นำเทคโนโลยีมาสร้างผลิตภัณฑ์และบริการมูลค่าเพิ่มใหม่ๆ เพื่อเพิ่มความพึงพอใจของลูกค้า และขยายฐานลูกค้ารายใหม่ไปพร้อมๆ กัน
พร้อมกันนี้ ภายใต้ภารกิจ Mission to the Sun หรือ MTTS ที่ได้นำเป้าหมายด้านความยั่งยืน หรือ SDGs ที่กำหนดโดยองค์การสหประชาชาติ มาเป็นส่วนหนึ่งในการวางกลยุทธ์สำหรับพัฒนาโครงการ อาทิ โครงการ Circular ที่ส่งเสริมการหมุนเวียนใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุดใน Ecosystem ของบริษัทฯ และโครงการ WHAbit ที่เป็นโซลูชันสำหรับดิจิทัลเฮลธ์แคร์ พร้อมด้วยฟีเจอร์การแสดงข้อมูลด้วยภาพ (Data Visualization) และคำแนะนำส่วนบุคคล รวมถึงยังมีโครงการ Meta W เมตาเวิร์สด้านอุตสาหกรรมรายแรกที่ได้รับการออกแบบเพื่อยกระดับประสบการณ์ของลูกค้า สร้างโอกาสใหม่ๆ และเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจของกลุ่มบริษัทฯ สู่ยุคดิจิทัล อีกด้วย
ล่าสุด บริษัท ดับบลิวเอชเอ เวนเจอร์ โฮลดิ้ง จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของกลุ่มบริษัท ได้รับอนุมัติให้เข้าไปลงทุนในหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ บมจ.สยามราชธานี หรือ SO จำนวน 111,597,905 ล้านหุ้น หรือ 20% ของจำนวนหุ้นทั้งหมดหลังการเพิ่มทุน โดยในการเข้าลงทุนครั้งนี้ บริษัทฯ ได้เล็งเห็น Synergy ที่เกิดจาก Ecosystem ที่ครบวงจรของบริษัทฯ และความเป็นผู้นำด้าน Outsourcing ของ SO ซึ่ง Synergy ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นรวมทั้งธุรกิจในปัจจุบันของบริษัทฯ และสำหรับการพัฒนาธุรกิจในอนาคตตามภารกิจ MTTS อีกด้วย โดยความร่วมมือในเฟสแรก จะครอบคลุมถึง Center of Shared Services การขยายธุรกิจ Outsource ไปยังลูกค้ากลุ่มอุตสาหกรรมใหม่ๆ, Workforce Excellence Academy การพัฒนาบุคลากรและแรงงานให้พร้อมรองรับอุตสาหกรรม New S-Curve, EV Fleet Rental and Management ซึ่งอยู่ในแผนการขยายธุรกิจ Green Logistics ของบริษัทฯ รวมถึง ESG และ Carbon Credit ที่เป็นการจัดการพื้นที่สีเขียวในนิคมอุตสาหกรรม เพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนและเพิ่มคาร์บอนเครดิต
จากความสำเร็จในการขับเคลื่อนธุรกิจสู่การเติบโตทางธุรกิจในช่วงที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นศักยภาพความแข็งแกร่ง ทั้งด้านการบริหารงาน รวมถึงโครงสร้างทางการเงินที่มีความแข็งแกร่ง ส่งผลให้บริษัทฯ สามารถจ่ายปันผลให้กับผู้ถือหุ้นได้อย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ โดยล่าสุดบริษัทฯ ได้จ่ายเงินปันผลรวม สำหรับผลประกอบการปี 2565 ที่ 0.1672 บาทต่อหุ้น โดยเป็นเงินปันผลระหว่างกาลที่ได้จ่ายให้ผู้ถือหุ้นไปแล้วจำนวน 0.0669 บาทต่อหุ้น และเงินปันผลที่จะจ่ายเพิ่มเติมอีก 0.1003 บาทต่อหุ้น ซึ่งจะมีการขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 12 พฤษภาคม 2566 และกำหนดการจ่ายเงินปันผล ในวันที่ 25 พฤษภาคมนี้
พร้อมกันนี้ บริษัทฯ ยังประสบความสำเร็จในการเสนอขายหุ้นกู้ ครั้งที่ 1/2566 มูลค่ารวม 5,000 ล้านบาท จากกลุ่มนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนรายใหญ่ หลังจากที่เปิดเสนอขายเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ซึ่งตอกย้ำให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของกลุ่มนักลงทุนที่มีต่อบริษัทฯ อันเป็นผลมาจากแผนการขยายธุรกิจที่มีความต่อเนื่องและชัดเจน สำหรับเม็ดเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ในครั้งนี้ บริษัทฯ จะนำเงินไปชำระคืนหนี้เดิม และ/หรือ ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานต่อไป
บริษัท ดานิลี่ จำกัด นำโดยนายกตัญญู โกมุทมาศ ผู้จัดการฝ่ายรัฐกิจสัมพันธ์ เป็นตัวแทนประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และนางสาวขนิษฐา คะสีทอง บุคคลากรเฉพาะความรับผิดชอบต่อสังคมประจำโรงงาน จัดกิจกรรม "สานเสวนาชุมชน ประจำปี 2568" ให้กับตัวแทนทุกภาคส่วน โดยมีภาครัฐ ได้แก่ โรงพยาบาลปลวกแดง, สำนักงานเกษตรอำเภอปลวกแดง, ศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้เภอปลวกแดง ภาครัฐวิสาหกิจ ได้แก่ การนิคมอุตสาหกรรมอีสเทิร์นซีบอร์ด(ระยอง) ภาคเอกชน ได้แก่ บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน), บริษัท เกรท วอลล์ มอเตอร์ แมนูแฟค
WHA ประกาศแผน Spin-off WHAID บริษัท Flagship ในธุรกิจกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม เตรียมเดินหน้าเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ
—
WHA ประกาศแผน Spin-off WHAID บริษั...
ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป รุกขยายการลงทุนในเวียดนาม สร้างการเติบโตควบคู่ความรับผิดชอบต่อสังคม
—
บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)(WHA Group) ผู้นำธุ...
"WHA Group" ทำ New High ครึ่งปีแรกฟอร์มเด่น โชว์กำไรสุทธิ 2,653 ล้านบาทโต 91% จ่อปรับเป้ายอดขายที่ดินรับอานิสงส์ย้ายฐานการลงทุนพุ่ง
—
บมจ. ดับบลิวเอชเอ คอ...
ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป และพันธมิตรกว่า 80 บริษัท ร่วมจัดงาน WeCYCLE DAY ตอกย้ำการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน
—
กลุ่มบริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน...
ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป ร่วมกับพันธมิตรธุรกิจ และผู้ประกอบการในนิคมฯ สนับสนุนอุปกรณ์การศึกษาให้กับโรงเรียนรอบนิคมฯ ต่อเนื่องเป็นปีที่ 25
—
บริษัท ดับบลิวเอชเอ ...
ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป - มารูเบนิ ลงนามในบันทึกข้อตกลง เตรียมให้บริการรถพลังงานไฟฟ้าสำหรับลูกค้าโลจิสติกส์ และนิคมอุตสาหกรรมของดับบลิวเอชเอ
—
เมื่อเร็ว ๆ นี้ ...
WHA GROUP พบนักวิเคราะห์ ส่งซิก จ่อปิดดีลหลายโครงการ ดันยอดขายที่ดินทะลุ เป้า 1,750 ไร่
—
นางสาวจรีพร จารุกรสกุล (ขวา) ประธานคณะกรรมการบริหาร และประธานเจ้...
"WHA Group" รับอานิสงส์ต่างชาติย้ายฐานผลิต - ธุรกิจไฟฟ้า โตก้าวกระโดด ส่งผลQ1/66 รายได้รวม และส่วนแบ่งกำไรโต 11.8%
—
บมจ.ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น ("WHA G...