ไขข้อข้องใจ "ผ่าคลอด" มั่นใจเลี้ยง "นมแม่" ได้แน่นอน

ข่าวประชาสัมพันธ์ »

"ผ่าคลอด" มั่นใจ เลี้ยง "นมแม่" แน่นอน

ไขข้อข้องใจ "ผ่าคลอด" มั่นใจเลี้ยง "นมแม่" ได้แน่นอน

สร้างต้นทุนสุขภาพเด็กไทยด้วยนมแม่ 6 เดือน

          องค์การอนามัยโลก (WHO) สนับสนุนให้หญิงตั้งครรภ์คลอดลูกตามธรรมชาติ โดยแนะนำว่าอัตราการผ่าคลอดโดยรวมไว้ว่าไม่ควรเกินร้อยละ 15 เพราะหญิงตั้งครรภ์โดยปกติของมีโอกาสคลอดลูกได้เองสูงถึงร้อยละ 80-90

          สำหรับประเทศไทยในปัจจุบันมีอัตราการผ่าคลอดร้อยละ 40 ซึ่งสูงกว่าที่ทางองค์การอนามัยโลกได้แนะนำไว้ ส่วนหนึ่งเกิดขึ้นจากความต้องการลดการเจ็บปวดจากการคลอด และมีเรื่องของการกำหนดฤกษ์ยาม แต่การผ่าคลอดนั้นมีผลกระทบต่อสุขภาพทั้งในระยะสั้นและระยะยาวต่อตัวแม่และลูกมากมาย โดยเฉพาะโอกาสของการได้รับอาหารที่ดีและมีคุณค่าที่สุดจากแม่ถึงลูกนั่นก็คือ "นมแม่" นอกจากนี้ทางองค์การอนามัยโลกยังกำหนดให้การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียว 6 เดือน เป็นตัวชี้วัดด้านโภชนาการระดับโลก ในการก้าวไปสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ของทุกประเทศ

          มูลนิธิศูนย์นมแม่แห่งประเทศไทย  จึงได้ดำเนิน โครงการสร้างสุขภาวะเด็กไทยด้วยนมแม่ ฝ่าวิกฤติโควิด-19 และสานพลังเครือข่ายสู่การขยายผล เพื่อชวนทุกภาคส่วนในสังคมไทยให้มาร่วมกันในการขับเคลื่อนและสนับสนุนการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ให้มีการปฏิบัติอย่างยั่งยืนในสังคมไทย โดยได้รับการสนับสนุนจาก สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) โดยเฉพาะในประเด็นที่มีความเข้าใจไม่ถูกต้องว่าหากผ่าตัดคลอดจะไม่สามารถเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ได้

          ศ.นพ.ภิเศก ลุมพิกานนท์ ประธานสหพันธ์สูติศาสตร์และนรีเวชวิทยา ภาคพื้นเอเชียโอเซียเนีย เปิดเผยว่าการผ่าตัดคลอดเป็นหัตถการซึ่งมีความจำเป็นที่จะต้องช่วยชีวิตทั้งแม่และลูก ในกรณีที่เป็นข้อบ่งชี้ว่าจะเป็นอันตรายต่อแม่และลูก แต่ในปัจจุบันประเทศไทยมีอัตราผ่าตัดคลอดร้อยละ 40 ซึ่งมากกว่าความจำเป็นถึงสองเท่า และในโรงพยาบาลเอกชนบางแห่งมีอัตราการผ่าคลอดสูงถึงร้อยละ 80-90 ซึ่งพบว่าในจำนวนนั้นบางส่วนไม่มีข้อบ่งชี้และไม่มีความจำเป็นในการผ่าตัดคลอด

"ประเทศที่มีรายได้สูงอย่าง อังกฤษ สเปน ฝรั่งเศส และประเทศแถบสแกนดิเนียเวียมีอัตราการผ่าตัดคลอดอยู่ที่ร้อยละ 20 หรือต่ำกว่า ญี่ปุ่นไม่ถึงร้อยละ 20 ซึ่งเกิดจากประชากรส่วนใหญ่ในประเทศเหล่านี้ตระหนักรู้ถึงข้อดีและข้อเสียของการผ่าตัดคลอด จากการประชุมวิชาการนมแม่แห่งชาติครั้งที่ 8 ยังพบข้อบ่งชี้ว่า การผ่าตัดคลอดจะลดโอกาสความสำเร็จในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อีกด้วย เนื่องจากการผ่าคลอดจะให้ยาระงับความรู้สึก ทำให้แม่มีความพร้อมน้อยกว่าแม่คลอดผ่านช่องคลอด โดยเฉพาะในช่วงหนึ่งชั่วโมงแรกที่ถือว่าเป็นช่วงเวลาทอง ในการที่ลูกจะเริ่มดูดนมแม่และมีความผูกพัน ซึ่งมีการพิสูจน์แล้วว่าทำให้โอกาสที่จะประสบความสำเร็จในการให้เลี้ยงลูกด้วยนมแม่นั้นสูงขึ้น"

แต่อย่างไรก็ดีการผ่าตัดคลอดนั้นไม่ได้เป็นข้อจำกัดและอุปสรรคที่จะทำให้ไม่สามารถเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ได้อย่างที่เข้าใจผิดกันมาโดยตลอด ภายหลังผ่าตัดคลอดก็ยังสามารถเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ได้ไม่แตกต่างไปจากการคลอดตามธรรมชาติ โดยสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือต้องมีการเตรียมตัวและเตรียมความพร้อมให้กับหญิงตั้งครรภ์ตั้งแต่ช่วงตั้งครรภ์จนกระทั้งหลังคลอด ตามแนวทาง 10 Steps to Successful Breastfeeding  แม่และครอบครัวต้องมีความตั้งใจในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ แพทย์และพยาบาลต้องเห็นความสำคัญของการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ และพร้อมช่วยเหลือสนับสนุนแม่ให้สามารถเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ได้ตั้งแต่อยู่ภายในโรงพยาบาล

"หากจำเป็นต้องผ่าคลอด ควรเลือกใช้วิธีการฉีดยาระงับความรู้สึกเข้าที่ไขสันหลัง เพราะแม่จะไม่หลับ ทำให้ช่วงเวลาทองที่ลูกจะดูดนมแม่ได้ในหนึ่งชั่วโมงแรกหลังคลอดสามารถทำได้ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของความสำเร็จในของการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ นอกจากนี้ถ้าเด็กมีความแข็งแรงสมบูรณ์ดีจะต้องไม่แยกลูกและแม่ออกห่างจากกันในช่วงหนึ่งชั่วโมงแรก บุคลากรทางการแพทย์จำเป็นจะต้องสนับสนุนการให้นมแม่ในช่วงหนึ่งชั่วโมงแรกให้ได้ และต้องให้ความสำคัญในจุดนี้ ภายหลังคลอดแพทย์และพยาบาลจะต้องช่วยให้แม่เรียนรู้วิธีการนำลูกเข้าเต้าที่ถูกต้อง ช่วยให้แม่ได้โอบกอดลูก ให้ลูกได้กินนมแม่ และครอบครัวจะต้องให้การสนับสนุนในเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน" ศ.นพ.ภิเศก ระบุ

ที่ผ่านมามูลนิธิศูนย์นมแม่แห่งประเทศไทย ได้มีการส่งเสริม และสนับสนุนเพื่อให้เกิดสังคมที่เอื้อต่อการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ตั้งแต่ระยะการฝากครรภ์ ภายหลังคลอด และเมื่อแม่ต้องกลับไปทำงาน ให้แม่สามารถเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ประสบความสำเร็จ และในการประชุมวิชาการนมแม่แห่งชาติครั้งที่ 8 ที่ผ่านมาบุคลากรทางการแพทย์ทั้งภาครัฐและเอกชนก็ให้การตอบรับเป็นอย่างดี ทุกฝ่ายพร้อมที่จะสนับสนุนให้เด็กไทยได้กินนมแม่อย่างเดียว 6 เดือน

"ล่าสุดทางกรมอนามัยมีนโยบายและเป้าหมายในการเพิ่มอัตราการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่จากร้อยละ

28.6 เพิ่มเป็นร้อยละ 50 ภายใน 2 ปี แต่การมีนโยบายอย่างเดียวไม่เพียงพอ ต้องมีวิธีการนำไปปฏิบัติ หรือมีกลไกด้านใดบ้างที่จะเร่งรัดให้เกิดความสำเร็จได้อย่างไร ในเวลานี้การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อยู่ในภาวะวิกฤต มีผลต่อสุขภาพทั้งของแม่และลูก ดังนั้นบุคลากรทางการแพทย์ทุกฝ่าย ทั้งพยาบาลในห้องคลอด หมอสูตินารีแพทย์ หมอที่ให้การดมยาหรือหมอเด็ก ต้องเห็นความสำคัญในเรื่องนี้และร่วมมือกันอย่างจริงจัง นี่คือสิ่งสำคัญที่จะทำให้อัตราการให้นมแม่สำเร็จและสูงขึ้นตามเป้าหมายของกระทรวงสาธารณสุขได้อย่างแน่นอน" ศ.นพ.ภิเศก กล่าวย้ำ

          พ.ญ.ศิริพร กัญชนะ ประธานมูลนิธิศูนย์นมแม่แห่งประเทศไทย กล่าวว่าการสนับสนุนให้แม่สามารถเลี้ยงลูกด้วยนมแม่เพียงอย่างเดียว 6 เดือนได้สำเร็จนั้น นอกจากแม่จะต้องมีความมุ่งมั่นตั้งใจแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือบุคลากรทางการแพทย์ทั้งหมอและพยาบาลจะต้องตระหนักและเห็นความสำคัญของการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่และพร้อมที่จะให้การสนับสนุนในทุกๆ ด้าน

          "ปัจจุบันทุกโรงพยาบาลต่างรับทราบถึงแนวทางการสนับสนุนการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ หรือ 10 Steps to Successful Breastfeeding ซึ่งมีขั้นตอนการปฏิบัติทั้งด้านการสนับสนุนและการให้ความรู้ที่สำคัญไว้ 10 ประการ หากบุคลากรทางการแพทย์เห็นความสำคัญและร่วมมือกันในเรื่องนี้ ก็จะมีส่วนอย่างยิ่งในการสนับสนุนให้เป้าหมายการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ของประเทศประสบความสำเร็จ ซึ่งสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือ เป็นการร่วมกันสร้างต้นทุนสุขภาพกายและจิตใจที่ดีให้กับเด็กไทย ที่จะเป็นพลังสำคัญในการพัฒนาประเทศชาติในศตวรรษที่ 21 โดยมีจุดเริ่มต้นที่นมแม่นั่นเอง" พ.ญ.ศิริพร กล่าวสรุป.

          สำหรับแม่ที่กำลังตั้งครรภ์-หลังคลอด ดูข้อมูลการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ได้ที่ www.thaibf.com  Facebook : Thaibf และ นมแม่ และ Application : Everyday Doctor ของกรมอนามัยที่เปิดคลินิกนมแม่ออนไลน์ เพื่อให้คำปรึกษาแม่ที่มีปัญหาในการให้นมแม่ได้ตลอด 24 ชั่วโมง.


ข่าวองค์การอนามัยโลก+องค์การอนามัยโลวันนี้

สธ. ดันโครงการ "เด็กฉลาดสร้างได้ตั้งแต่แรกเกิด" ชี้ธาตุเหล็กช่วยพัฒนาสมองลูกน้อย เสริมพัฒนาการให้สมวัย

นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานเปิดโครงการ "เด็กฉลาดสร้างได้ตั้งแต่แรกเกิด" พร้อมด้วย พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม นายพรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี Mr. Mark Landry เจ้าหน้าที่โครงการขององค์การอนามัยโลก (WHO) ประจำประเทศไทย นางนภัทร พิศาลบุตร ผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาเด็กปฐมวัย องค์การยูนิเซฟ ประเทศไทยผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข ผู้บริหารกรมอนามัย ร่วมงาน ณ บริเวณโถงชั้นล่าง อาคาร 3 ชั้น 1 สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข

ปัจจุบันปัญหาการบริโภคโซเดียมเกินความจำเป... ผงปรุงรสจากพืชพื้นบ้าน: นวัตกรรมทางเลือกเพื่อสุขภาพและความยั่งยืนของชุมชน — ปัจจุบันปัญหาการบริโภคโซเดียมเกินความจำเป็นเป็นหนึ่งในปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ส่งผ...

การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) ห่วงใยประชาชนพ... กปภ. ตรวจเข้มคุมคุณภาพน้ำ 24 ชั่วโมงย้ำ ! น้ำประปาเชียงรายสะอาด ปลอดภัย มั่นใจได้ — การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) ห่วงใยประชาชนพื้นที่จังหวัดเชียงราย กำชับ ก...

บริษัท โนโว นอร์ดิสค์ ฟาร์มา (ประเทศไทย) ... โนโว นอร์ดิสค์ จัดงานแถลงข่าวมุ่งเน้นประโยชน์สำหรับคนไข้ที่มากกว่าการลดน้ำหนัก — บริษัท โนโว นอร์ดิสค์ ฟาร์มา (ประเทศไทย) จำกัด หรือ "โนโว นอร์ดิสค์" จัดง...

องค์การอนามัยโลก (WHO) กำหนดให้ทุกวันที่ ... GSK ร่วมรณรงค์ "สัปดาห์การสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโลก 2025" ชูการป้องกันโรคสำหรับทุกวัย — องค์การอนามัยโลก (WHO) กำหนดให้ทุกวันที่ 24-30 เมษายนของทุกปีถือเป็...