JSP มองปีหน้าราคายาพุ่งขั้นต่ำ 20% จาก 4 ปัจจัย ทั้งเหตุความไม่สงบระหว่างประเทศ ต้นทุนขนส่งพุ่ง สังคมผู้สูงวัย และต้นทุนการผลิตโดยรวมเพิ่มขึ้น ชี้ต้นทุนรักษาพยาบาลกว่า 65% เป็นราคายา หากราคายาปรับสูงขึ้น จะส่งผลผู้คนเข้าถึงการรักษาน้อยลง แต่หนุนเทรนด์ดูแลสุขภาพเชิงป้องกันเติบโตโดดเด่น มองเป็นโอกาสตลาดสมุนไพรและอาหารเสริม แนะรัฐหนุนผู้ประกอบการสมุนไพรไทยเข้าถึงกระบวนการผลิตได้มาตรฐานส่งออก พร้อมเผยปีหน้า JSP มีโอกาสรับลูกค้า OEM สมุนไพรมากขึ้น
นายสิทธิชัย แดงประเสริฐ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โรงงานเภสัช อุตสาหกรรม เจเอสพี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ JSP และประธานกลุ่มอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ทิศทางตลาดอุตสาหกรรมยาทั่วโลกในปี 2567 มีแนวโน้มจะปรับราคายาขึ้นไปอย่างต่ำ 20% เนื่องจากต้นทุนวัตถุดิบที่นำมาเป็นส่วนผสมยาปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องนับจากมีการระบาดของโควิด -19 โดยเฉพาะต้นทุนส่วนของผสมพาราเซตามอล เพนนิซิลิน ไอบรูโพรเฟน และส่วนผสมของยาปฏิชีวนะส่วนใหญ่ล้วนปรับตัวสูงขึ้น โดยธุรกิจวัตถุดิบและสารปรุงแต่งยาทั่วโลกส่วนใหญ่มีศูนย์กลางอยู่ที่เอเชีย ซึ่งมีอินเดียและจีนเป็นผู้เล่นหลัก จีนและอินเดียครองส่วนแบ่งการตลาดสำหรับวัตถุดิบทางเภสัชกรรม 60% โดยมีลูกค้า 80% อยู่ในประเทศในสหภาพยุโรป
สำหรับปัจจัยที่ส่งผลให้ราคายาในปี 2567 จะปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญนั้นมาจาก ปัจจัยหลัก 4 ด้าน ดังนี้
- ความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่เกิดขึ้นในหลายพื้นที่ ทั้ง รัสเซีย - ยูเครน , อิสราเอล - ฮามาส รวมถึงความขัดแย้งภายในประเทศในพื้นที่อื่นๆเช่นพม่า ปัจจัยเหล่านี้ล้วนส่งผลให้ความต้องการยามีสูงขึ้น
- ต้นทุนการขนส่งที่เพิ่มขึ้น ปัจจัยนี้เป็นผลต่อเนื่องมาจากปัจจัยความไม่สงบในพื้นที่ต่างๆ ที่กระทบมาถึงราคาพลังงานที่สูงขึ้น ส่งผลให้บริษัทผู้ผลิตยามีต้นทุนในการขนส่งมากขึ้น ในปี 2565
- สังคมผู้สูงอายุที่กำลังเกิดขึ้นกับหลายประเทศทั่วโลก เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ความต้องการยามีมากขึ้น จากความต้องการที่มากขึ้นนี้ส่งผลให้ยาบางประเภทขาดตลาด และทำให้มีราคาสูงขึ้น
- ต้นทุนการผลิตโดยรวมที่เพิ่มขึ้น เช่น ค่าแรง และ เครื่องจักร
หากราคายาเปลี่ยนแปลง การเข้าถึงการรักษาพยาบาลก็เป็นเรื่องที่น่ากังวลอย่างมาก เนื่องจากค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาลประมาณ 65% ขึ้นอยู่กับยา ดังนั้นเทรนด์ในการดูและสุขภาพของคนรุ่นใหม่ในปี 2567 จึงจะได้รับความนิยมมากขึ้น เช่น เทรนด์การดูและสุขภาพเชิงป้องกันไม่ให้เกิดการเจ็บป่วย และการกินอาหารเป็นยา เป็นต้น ซึ่งเทรนด์เหล่านี้จะส่งผลดีต่อธุรกิจสมุนไพรและอาหารเสริม ทั้งหมดนี้ถือเป็นโอกาสของประเทศไทยในการผลักดันสมุนไพรและอาหารเสริมให้มีกระบวนการผลิตที่ได้มาตรฐานระดับสากล ผู้ประกอบการรายเล็กสามารถเข้าถึงห้องแล็ปมาตรฐาน ซึ่งปัจจุบันไทยส่งออกสมุนไพร 20% ใช้ในประเทศ 80% หากสามารถยกระดับการผลิตให้ได้มาตรฐานโลกก็จะส่งผลให้ตลาดสมุนไพรไทยเติบโตได้อีกหลายเท่า
"ปีหน้า JSP มีแนวโน้มยอดขายโตขึ้นจากลูกค้าสมุนไพรที่เข้ามา OEM มากขึ้น เนื่องจากเป็นการจับมือกันระหว่างโรงงานมาตรฐาน คือ JSP กับผู้ประกอบการรายเล็กที่มีสายป่านไม่ยาวมาก แต่ต้องการผลิตยาและอาหารเสริมที่ได้มาตรฐานระดับโลก เทรนด์การดูแลสุขภาพเชิงป้องกันจึงส่งผลดีต่อ JSP ทั้งทางตรงและทางอ้อม" นายสิทธิชัย กล่าว
JSP ผลงานท็อปฟอร์มครึ่งปีแรกยอดขายจากแบรนด์สุภาพโอสถหนุนกำไรโต 205.7% ครึ่งหลังเร่งเครื่องงาน OEM ดันรายได้แตะ 900 - 1,000 ลบ.ตามเป้า
JSP หนุน GWM เข้าตลาด LiveX ปูทางสู่ผู้นำนวัตกรรมดูแลผู้ป่วยไต เปิดโครงสร้างธุรกิจ 4บ.ย่อย ผนึกกำลังสู่'Health Innovation Group'
JSPเผยโควิดระบาดรอบใหม่หนุนคนไทยปรับไลฟ์สไตล์เพื่อสุขภาพมากขึ้น มั่นใจปีนี้ยอดขายทะลุเป้ารับอานิสงส์อาหารเสริมกลุ่มวิตามิน-ยาสมุนไพรพุ่ง
สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ เชิญร่วมฟังเสวนา "Challenges of Thai Herb's Value Chain" ความท้าทายของสมุนไพรไทย ฟรี! ในวันที่18 พ.ค.66
JSP ร่วมโชว์ศักยภาพงานสัมมนาสมาคมร้านขายยาประจำปี ดึง MEDIS เปิดตัวตู้ยาอัตโนมัติ 24 ชม. แห่งแรก กระแสเปรี้ยง
JSP ผนึกกำลัง "เมดิส คอร์ปอเรชั่น" เปิดโมเดลแฟรนไชส์ตู้ขายยาเจ้าแรก ตอกย้ำ!! เบอร์หนึ่งแพลตฟอร์มตู้จำหน่ายยาสามัญประจำบ้าน 24 ชั่วโมง
EKH เปิดสตอรี่! จับมือ JSP ผลิตแคลเซียมสำหรับเด็กเล็ก ล่าสุดผ่านการรับรองอย.พร้อมวางจำหน่ายแล้ว มั่นใจกระแสตอบรับดีเยี่ยม หนุนรายได้เพิ่ม ดันอนาคตเติบโตมั่นคง
JSP ฮอตเว่อร์ "เมธา สิมะวรา" ขึ้นแท่นผถห.เบอร์ใหญ่ มั่นใจผลงานโตเกินต้าน คาดสตอรี่ปีนี้โต 20-30%