ดีลอยท์ ประเทศไทย เผยผลการสำรวจ Thailand Business Transition for Future Energy Ambition Survey ประจำปี 2566

ข่าวประชาสัมพันธ์ »

  • ร้อยละ 41 ของบริษัท มองว่าการผลักดันนโยบายระหว่างประเทศ เป็นปัจจัยขับเคลื่อนหลักในการผลักดันการดำเนินการสู่ความยั่งยืน ในขณะที่ ร้อยละ 36 มีปัจจัยขับเคลื่อนที่สำคัญ จากการผลักดันนโยบายระดับชาติ
  • ร้อยละ 40 ของบริษัทให้ความสำคัญกับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์เป็นเป้าหมายหลักในด้านความยั่งยืนและสภาพภูมิอากาศ โดยมีอัตราความสำเร็จในระดับปานกลาง
  • ความท้าทายในการการรวบรวมและติดตามข้อมูลการปล่อยก๊าซในห่วงโซ่อุปทาน การใช้ต้นทุนสูงในการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และความท้าทายในการปฏิบัติตามกฎระเบียบของบริษัทคิดเป็นร้อยละ 50, 47และ 39 ตามลำดับ
  • การปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงาน การลดการปล่อยก๊าซจากการคมนาคมและห่วงโซ่อุปทาน และการปรับปรุงระบบการจัดการขยะ เป็นสามอันดับแรกของการดำเนินการเพื่อความยั่งยืน คิดเป็นร้อยละ 70, 54 และ 43 ตามลำดับ

ดีลอยท์ ประเทศไทย เผยผลสำรวจ Thailand Business Transition for Future Energy Ambition Survey 2023 ซึ่งเผยข้อมูลเกี่ยวกับทัศนคติของบริษัทในประเทศไทยต่อความยั่งยืนและมาตรการทางสิ่งแวดล้อม และความท้าทายที่พวกเขากำลังเผชิญอยู่ ผลสำรวจนี้ยังชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นอย่างเร่งด่วนที่ธุรกิจต้องปรับตัวตามเป้าหมายทางความยั่งยืนและดำเนินการทางกลยุทธ์เพื่อจัดการกับผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ และนำเสนอแผนกลยุทธ์ให้กับบริษัทที่ต้องการหาแนวทางดำเนินธุรกิจที่มีความยั่งยืนในสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่กำลังเปลี่ยนไปอย่างต่อเนื่อง

ดีลอยท์ ประเทศไทย เผยผลการสำรวจ Thailand Business Transition for Future Energy Ambition Survey ประจำปี 2566

ดีลอยท์ ประเทศไทย ได้ทำการสำรวจ Thailand Business Transition for Future Energy Ambition Survey 2023 โดยมีผู้ตอบแบบสำรวจจากบริษัทในประเทศไทย 57 แห่ง จาก 4 กลุ่มอุตสาหกรรม ได้แก่ กลุ่มอุปโภคบริโภค, พลังงาน, ทรัพยากรและอุตสาหกรรม, บริการทางการเงิน, และวิทยาศาสตร์ชีวภาพและการดูแลสุขภาพ การสำรวจนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาทัศนคติของบริษัทต่อการดำเนินการเพื่อความยั่งยืนและสภาพอากาศ และความท้าทายที่พวกเขากำลังเผชิญ ผลการสำรวจประกอบด้วยสามประเด็นสำคัญ ได้แก่ กลยุทธ์ การดำเนินงานในระดับปฏิบัติการ และมาตรการทางการเงินเพื่อความยั่งยืนและการลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ ดีลอยท์ ประเทศไทย เผยผลการสำรวจ Thailand Business Transition for Future Energy Ambition Survey ประจำปี 2566

ในด้านกลยุทธ์เพื่อความยั่งยืนและเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อม พบว่าปัจจัยทางกฎหมายและการปฏิบัติตามกฎหมายที่ได้รับผลกระทบจากทั้งนโยบายระหว่างประเทศและระดับประเทศ เป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้บริษัทดำเนินกิจกรรมเพื่อความยั่งยืนและรองรับกับการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ ในกลุ่มผู้ตอบแบบสอบถาม ร้อยละ 41 ได้รับการผลักดันนโยบายระหว่างประเทศ ในขณะที่ร้อยละ 36 มีการผลักดันจากนโยบายระดับชาติเป็นปัจจัยในการขับเคลื่อนการดำเนินการ นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยทางธุรกิจอื่นๆ เช่น การแข่งขัน ประสิทธิภาพของการดำเนินงาน และโอกาสทางธุรกิจ เป็นปัจจัยสำคัญอีกด้วย และความกดดันภายนอกจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ยังเป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลกระทบต่อมิติการดำเนินธุรกิจที่ยั่งยืนของบริษัทอีกด้วย

เมื่อถามเกี่ยวกับเป้าหมายทางความยั่งยืนและสิ่งแวดล้อม ร้อยละ 40 ของผู้ตอบแบบสอบถามระบุว่าการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เป็นศูนย์สุทธิเป็นเป้าหมายทางความยั่งยืนและสิ่งแวดล้อมอันดับแรกๆ ที่บริษัทในกลุ่มอุตสาหกรรมต่าง ๆ นำมาใช้ โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรมพลังงานและเคมี เป้าหมายอื่นๆ ในลำดับถัดมาได้แก่ การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและการบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอน อย่างไรก็ตาม อัตราการบรรลุเป้าหมายเหล่านี้ยังอยู่ที่ระดับปานกลาง โดยมีคะแนนประมาณ 3.3 จากคะแนนเต็ม 5 นี้ สอดคล้องกับความมุ่งมั่นในข้อตกลง COP26 ที่หลายประเทศได้มีการสัญญาลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและมุ่งมั่นที่จะดำเนินการตามเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซให้เป็นศูนย์สุทธิอย่างมีนัยสำคัญ

เมื่อกล่าวถึงความท้าทายในการทำให้เป้าหมายทางความยั่งยืนและสิ่งแวดล้อมเป็นจริง ผลสำรวจระบุว่าผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เผชิญกับความท้าทายที่ไม่เกี่ยวข้องกับเงินมากกว่าทางท้าทายที่เกี่ยวกับเงิน โดยคิดเป็นร้อยละ 75 ของผู้ตอบแบบสำรวจ ในส่วนความท้าทายที่ไม่เกี่ยวข้องกับเงิน การรวบรวมและติดตามข้อมูลการปล่อยก๊าซในห่วงโซ่อุปทานเป็นความท้าทายอันดับต้น ๆ คิดเป็นร้อยละ 50 ของบริษัทที่ได้รับการสำรวจดังกล่าว ในขณะที่ร้อยละ 60 ของบริษัทที่เผชิญความท้าทายที่เกี่ยวกับเงิน ระบุว่าตนกำลังประสบปัญหาต้นทุนการลงทุนสูงที่เกี่ยวข้องกับโครงการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ

ดร. นเรนทร์ ชุติจิรวงศ์ ผู้อำนวยการบริหาร Clients & Markets ดีลอยท์ ประเทศไทย กล่าวว่า "ในการจัดการความท้าทายในการรวบรวมข้อมูล บริษัทอาจเริ่มจากการพิจารณาประเภทข้อมูลที่จำเป็น ระบุขอบเขตและขอบเขตของการรวบรวมข้อมูล ระบุผู้ที่มีส่วนร่วมในกระบวนการ ค้นหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องภายในธุรกิจและสร้างกระบวนการรวบรวมข้อมูลที่จะเป็นประโยชน์ในอนาคต ซึ่งสอดคล้องกับมาตรฐานและกรอบการรายงานเรื่องความยั่งยืนที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันและอนาคต"

เมื่อพิจารณาการดำเนินการเพื่อความยั่งยืนและเป้าหมายทางสิ่งแวดล้อม พบว่าการปรับปรุงประสิทธิภาพในด้านการดำเนินงาน, การลดการปล่อยก๊าซจากการคมนาคมและห่วงโซ่อุปทาน และการเพิ่มประสิทธิภาพระบบจัดการขยะ เป็นการดำเนินการสามอันดับแรก โดยคิดเป็นร้อยละ 70, 54 และ 43 ตามลำดับ.

เพื่อลดช่องว่างในกระบวนการลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก บริษัทต่างๆ มีการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินการ และมีการย้ายพอร์ทการลงทุนไปทางพลังงานทดแทน เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม พลังงานไฮโดรอีเล็กทริก (hydroelectric) พลังงานความร้อนใต้พิภพ (geothermal) และกรีนไฮโดรเจน (green hydrogen) .สำหรับเส้นทางไปสู่กระบวนการลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกขององค์กรนั้น คณะกรรมการมีบทบาทสำคัญในการพาธุรกิจไปสู่อนาคตที่ยั่งยืน และจำเป็นต้องตระหนักถึงความจำเป็นในการผสานโอกาสใหม่ๆ และความเสี่ยงที่เกิดขึ้น และวางแผนกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจ

ถึงแม้การลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นเรื่องที่สำคัญ แต่ผลจากการสำรวจแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลไทยมีการสนับสนุนทางการเงินอย่างจำกัด ส่งผลให้ภาคธุรกิจต้องใช้งบประมาณของบริษัทเพื่อสนับสนุนการดำเนินการเพื่อความยั่งยืน เห็นได้ชัดว่า การออกตราสารหนี้เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม (green bonds) เงินกู้ และงบประมาณของบริษัท เป็นแหล่งทางการเงินที่สำคัญ แต่ผู้ตอบแบบสำรวจมากกว่าครึ่งหนึ่งขาดความรู้เกี่ยวกับมาตรการการสนับสนุนของภาครัฐ ชี้ให้เห็นว่าควรปรับปรุงการสื่อสารให้ดีขึ้น จากผลสำรวจ ร้อยละ 81 ของผู้ตอบแบบสำรวจ ระบุว่าพวกเขาใช้งบประมาณภายในบริษัทเพื่อการจัดการและดำเนินโครงการทางอนุรักษ์และด้านสิ่งแวดล้อม ในทางกลับกัน มีเพียงร้อยละ 28 ของบริษัทที่ร่วมการสำรวจ พึ่งพาทุนสนับสนุนจากรัฐบาล เป็นแหล่งทางการเงินเพื่อสนับสนุนทางด้านอนุรักษ์และการลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

เมื่อกล่าวถึงนโยบาย 30@30 ซึ่งมุ่งเน้นผลิตรถยนต์ที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์เป็นจำนวนร้อยละ 30 จากการผลิตรถยนต์ทั้งหมดในปี 2573, จากการสำรวจพบว่ามีความกังวลถึงผลกระทบจากการบังคับใช้ของนโยบายดังกล่าว โดยร้อยละ 40 ของบริษัทที่ได้รับการสำรวจ ระบุว่า ไม่ได้รับผลกระทบที่มีนัยสำคัญต่อกระบวนการดำเนินงาน.

ดร.บดินทร์ วงศ์วิทยาภิรมณ์ ผู้จัดการอาวุโส Sustainability & Climate, Center of Excellence ดีลอยท์ ประเทศไทย กล่าวเสริมว่า "นอกจากที่นโยบาย 30@30 จะส่งผลกระทบต่อการดำเนินการของบริษัทต่างๆ โดยตรงแล้ว นโยบายดังกล่าว ยังส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และสังคม เห็นได้ชัดว่า ยังมีความท้าทายในส่วนแบ่งที่เพิ่มขึ้นของพลังงานสะอาดในระบบโครงข่ายไฟฟ้า (Grid) การจำกัดการใช้เชื้อเพลิงชีวภาพสำหรับการลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระยะสั้นสำหรับเครื่องยนต์สันดาบภายใน เนื่องจากต้องพึ่งพาวัสดุเชื้อเพลิงทางการเกษตร และการเปลี่ยนผ่านไปสู่รถยนต์ไฟฟ้าที่ลดรายได้ของรัฐบาลจากภาษีสรรพสามิต

คุณโสภาพรรณ ทรัพย์ทิพยรัตนา Southeast Asia Power, Utilities & Renewables Leader และพาร์ทเนอร์ บริการสอบบัญชี ดีลอยท์ ประเทศไทย กล่าวเสริมว่า "การลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG) อย่างมีประสิทธิภาพไม่เพียงแต่จะช่วยส่งเสริมให้บริษัทในการบรรลุเป้าหมายด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แต่ยังก่อให้เกิดข้อได้เปรียบทางธุรกิจ เช่น การประหยัดต้นทุน การเพิ่มประสิทธิภาพ, เพิ่มยอดขาย ความจงรักภักดีจากลูกค้า นวัตกรรม และความสัมพันธ์กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่แข็งแกร่งมากขึ้น

สำหรับผู้ที่สนใจข้อมูลเพิ่มเติม สามารถดาวน์โหลดรายงานฉบับเต็มผ่านทางลิงค์ด้านล่างนี้
https://www2.deloitte.com/th/en/events/2023/thailand-business-transition-for-future-energy-ambition-survey-2023.html


ข่าวก๊าซเรือนกระจก+ห่วงโซ่อุปทานวันนี้

KTIS ปลื้มโครงการ VIVE Impact ปีแรก ลดก๊าซเรือนกระจกได้กว่า 37% พร้อมเดินหน้าต่อปีที่ 2 และ 3 ตอกย้ำแนวทางสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน

กลุ่ม KTIS เผยความสำเร็จของโครงการ VIVE Impact ปีแรก หลังร่วมมือกับ Suntory Holdings Limited และ VIVE ในการพัฒนาแนวทางเกษตรเชิงฟื้นฟู (Regenerative Agriculture: RA) เพื่อยกระดับความยั่งยืนในห่วงโซ่อุปทานอ้อยในเชิงพาณิชย์ พบว่าสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างมีนัยสำคัญกว่า 37% และความเข้มข้นของการปล่อย (emissions intensity) ลดลง 40% ในแปลงทดลอง พร้อมขับเคลื่อนโครงการต่อเนื่องในปีที่ 2 และ 3 นายประพันธ์ ศิริวิริยะกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เกษตรไทย อินเตอร์เนชั่นแนล ชูการ์ จำกัด

เสริมความพร้อมของภาคธุรกิจด้วยเครื่องมือป... บางจากฯ ร่วมผลักดันการตระหนักรู้ด้านวิกฤตสภาพภูมิอากาศในห่วงโซ่อุปทาน — เสริมความพร้อมของภาคธุรกิจด้วยเครื่องมือประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์และกลไกตลาดคาร์บอน...

นักรบ กุลพนิชย์ (ขวา) ผู้อำนวยการฝ่ายบริห... เซนเซส พร็อพเพอร์ตี้ฯ รับมอบประกาศนียบัตร เครื่องหมายรับรองฉลากคาร์บอน — นักรบ กุลพนิชย์ (ขวา) ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารทรัพย์สิน บริษัท เซนเซส พร็อพเพอร์ตี้ ...

มกอช. เดินหน้าหารือ MAFF วางกรอบความร่วมม... มกอช. ผลักดัน "ไข่ผำ (Wolffia)" สู่ตลาดญี่ปุ่น — มกอช. เดินหน้าหารือ MAFF วางกรอบความร่วมมือ JTEPA ด้านฉลากลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในสินค้าเกษตร พร้...

ในงาน "sustainNEOvation" A Journey From C... NEO ปลุกพลังรักษ์โลกด้วยนวัตกรรม ชวนคนรุ่นใหม่ถอดรหัสความยั่งยืน — ในงาน "sustainNEOvation" A Journey From Core To Care ไม่ได้แค่พูด! แต่ "ทำจริง-ทำต่อเนื...