อเบอร์ดีนมองตลาดหุ้นไทย โดนปัจจัยทั้งในและต่างประเทศรุมเร้า คาดdownside ใกล้จบแล้ว หลังดัชนีลดลงมากกว่า 200 จุดหลังเลือกตั้ง

01 Nov 2023

อเบอร์ดีนมองตลาดหุ้นไทย โดนปัจจัยทั้งในและต่างประเทศรุมเร้า คาดdownside ใกล้จบแล้ว หลังดัชนีลดลงมากกว่า 200 จุดหลังเลือกตั้ง แนะกลุ่มโรงพยาบาลและท่องเที่ยว ไร้ความเสี่ยงเรื่องดอกเบี้ย

อเบอร์ดีนมองตลาดหุ้นไทย โดนปัจจัยทั้งในและต่างประเทศรุมเร้า คาดdownside ใกล้จบแล้ว หลังดัชนีลดลงมากกว่า 200 จุดหลังเลือกตั้ง

นางสาวดรุณรัตน์ ภิยโยดิลกชัย หัวหน้าฝ่ายการลงทุนตราสารทุน บลจ.อเบอร์ดีน (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยที่ปรับตัวลงมาเนื่องจากได้รับผลกระทบจากปัจจัยต่างประเทศเช่นเดียวกันตลาดอื่นๆ ทั้งประเด็นสงคราม อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ (บอนด์ยีลด์) ที่ปรับตัวสูงขึ้น และภาวะเศรษฐกิชะลอตัวแบบ Soft Landing ขณะที่ปัจจัยในประเทศ การปรับประมาณกำไรบริษัทจดทะเบียน (บจ). ลงอย่างต่อเนื่องของนักวิเคราะห์ที่ยังไม่สิ้นสุด กดดัชนีลง ประกอบกับช่วงเลือกตั้งและหลังเลือกตั้งยังไม่มีการใช้จ่ายหนุนเศรษฐกิจ โดยมอง Downside ดัชนีหุ้นไทยแถว 1,300-1,350 จุด ซึ่งระดับ 1,300 จุด กรณีที่สงครามอิสราเอลและกลุ่มฮามาลขยายวงกว้างมากขึ้น

สำหรับการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในสัปดาห์นี้คาดว่าจะคงอัตราดอกเบี้ย และรอดูการส่งสัญญาณอัตราดอกเบี้ย โดยประเด็นที่ต้องติดตาม คือ การรายงานตัวเลขเศรษฐกิจ ตัวเลขการจ้างงาน ที่จะเป็นทริกเกอร์ว่าเศรษฐกิจเริ่มชะลอตัวลงและราคาหุ้นก็จะปรับตัวลง ซึ่งจะเป็นจังหวะให้เข้าซื้อ

"อเบอร์ดีนมองราคาหุ้นไทยลงมามาก เป็นจังหวะทยอยสะสม จากช่วงก่อนเลือกตั้งดัชนีอยู่แถว 1,570 จุด ตอนนี้ลงมากว่า 200 จุด หลักๆ จากกำไรบจ.ที่ถูกหั่นลง กดดัชนีปัจจุบันอยู่แถว 1,370-1,380 จุด อยู่ในระดับที่น่าสนใจมากกว่าเดิม ขณะที่ P/E ตอนนี้ 14 เท่า เมื่อเทียบกับในอดีต 17-18 เท่า ซึ่ง Discount เยอะมาก มอง Dowside ไม่มากแล้ว ซึ่ง 6 เดือนข้างหน้าต้องติดตามกำไรบจ. เป็นหลัก"นางสาวดรุณรัตน์ กล่าว

สำหรับกลยุทธ์การลงทุนโฟกัสที่ปัจจัยพื้นฐาน หุ้นต้องเติบโตไปต่อได้ ไม่มีความเสี่ยงหรือได้รับผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ยที่สูงหรือหากต้นทุนเพิ่มขึ้นสามารถส่งผ่านไปได้ โดยมองกลุ่มหุ้นที่น่าสนใจ ได้แก่ กลุ่มโรงพยาบาล ซึ่งคาดว่าผลประกอบการในไตรมาส 3/66 จะออกมาค่อนข้างดี เพราะคนไข้ที่เข้ารักษาในโรงพยาบาลเพิ่มมากขึ้นจากการระบาดของไข้หวัด และหากดูมูลค่าหุ้ Valuation มากกว่าครึ่งของกลุ่มใน SET ทั้งหมดเทรดต่ำกว่า PE ค่าเฉลี่ย 10 ปี ที่ระดับ 30-50% แล้ว

นอกจากนี้ในกลุ่มท่องเที่ยว จากประมาณการณ์นักท่องเที่ยวปี 2566 ทั้งหมด 28 ล้านคน อาจลดลงเล็กน้อย จากนักท่องเที่ยวจีนที่เข้ามาในประเทศน้อยกว่าที่คาดไว้ แต่ยังมีนักท่องเที่ยวจากประเทศอื่น ๆ เข้ามาชดเชย เช่น อินเดีย รัสเซียและมาเลเซีย รวมทั้งจากการพูดคุยกับผู้ประกอบการในกลุ่มธุรกิจยังเห็นการเติบโตของค่าห้องพัก และยังไม่ได้รับผลกระทบจากสงครามในตะวันออกกลาง เนื่องจากมีสัดส่วนนักท่องเที่ยวจากอิสราเอลค่อนข้างน้อยมาก

ขณะที่กลุ่มโรงไฟฟ้า อาจต้องหลีกเลี่ยงไปก่อน เนื่องจากรัฐบาลมีนโยบายในการลดค่าครองชีพ ส่งผลให้รายได้กลุ่มโรงไฟฟ้าถูกจำกัด ในขณะที่ต้นทุนยังผันผวนอยู่ ยังมีความเสี่ยงในเรื่องของการทำกำไร ส่วนกลุ่มค้าปลีกจากประมาณการของนักวิเคราะห์ยังไม่ได้ให้น้ำหนักกับนโยบาย Digital Wallet กับกลุ่มที่เป็นบริษัทจดทะเบียน เนื่องจากยังไม่มีความชัดเจนในนโยบาย ซึ่งมองว่าหากมีการปรับเงื่อนไขและใช้วงเงินน้อยลงจากเดิมที่คาดการณ์ไว้ 4-5 แสนล้านบาท และมีการลงทุนระยะยาวเพื่อผลักดันจีดีพีเติบโตน่าจะเป็นทางเลือกที่ดี

"อเบอร์ดีนมองว่าราคาหุ้นที่ลงมาถึงระดับหนึ่ง นักลงทุนต่างชาติจะกลับเข้ามาลงทุน และเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นเอเชียถือว่าหุ้นไทยไม่ได้แพง เมื่อเทียบกับเสถียรภาพโดยรวม แต่ต้องรอดูจุดขายของรัฐบาลเพื่อดึงดูดนักลงทุนหรือหากรัฐบาลมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่เป็นข่าวดี ดัชนีน่าจะมี Sentiment ที่ดี โดยอเบอร์ดีนปรับประมาณการ 6-12 เดือนข้างหน้า จากเดิมกรอบดัชนีอยู่ที่ 1,530-1,663 จุด เป็น 1,444-1,560 จุด กรณี Best Case อยู่ที่ 1,494-1,618 จุด"นางสาวดรุณรัตน์ กล่าว

พร้อมกันนี้แนะนำกองทุน ABSM ลงทุนหุ้นไทยขนาดกลางและเล็ก ซึ่งมีแนวโน้มการเติบโตของกำไรที่ดี โดยกองทุนจะเน้นลงทุน 4 ธีม ท่องเที่ยว เฮลธ์แคร์ EV อาหารและเครื่องดื่ม

ด้านนายจอช ดิวทซ์ รองหัวหน้าทีมโกลบอลเอคควิตี้ อเบอร์ดีน เปิดเผยว่า ภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มชะลอตัวแบบ Soft landing เงินเฟ้อเริ่มลดลง สถานการณ์ดีขึ้นเมื่อเทียบปีก่อนที่กังวลเศรษฐกิจอาจเกิด Hard landing ขณะที่สงครามในตะวันออกกลางมีความกังวลอยู่บ้าง แต่มองกำไรบริษัทจดทะเบียนเริ่มเห็นสัญญาณที่ดีและคาดว่าไตรมาส 4/66 กำไรน่าจะดีขึ้น ในแง่ของการลงทุนมองราคาหุ้นที่ปรับตัวลงมาเป็นโอกาสลงทุน โดยเฉพาะหุ้นปันผล

สำหรับกองทุนเปิดอเบอร์ดีน โกลบอล ไดนามิค ดีวิเดนด็น ฟันด์ (ABGDD) เน้นลงทุนหุ้นปันผลทั่วโลก ซึ่งกองทุนเน้นหุ้น Value มากกว่าหุ้น Growth เนื่องจากมีความสม่ำเสมอและมีความมั่นคง ซึ่ง 3 ปีล่าสุดราคาหุ้นปรับตัวลงมาเมื่อเทียบ หุ้น Growth เมื่อเทียบหลายวิกฤตที่ผ่านมาหุ้น Value มักจะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า ซึ่งรอบนี้หุ้น Growth ปรับตัวขึ้นมามากจากหุ้นบิ๊กเนม 7 ตัว มีขนาด 1 ใน 3 ของมาร์เก็ตแคปตลาดหุ้นสหรัฐดึงหุ้นกลุ่มเทคขึ้นมา แต่มองในฝั่งหุ้น Value โอกาสในการลงทุนกำลังมา

"อเบอร์ดีนมองโอกาสลงทุนหุ้นปันผลดี สม่ำเสมอและมีโอกาสเติบโต จากสถิติหุ้นตัวไหนที่จ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอและโอกาสเติบโตได้ ภาพระยะยาวจะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าหุ้นตัวที่ลดการจ่ายเงินปันผลหรือไม่จ่ายปันผล สะท้อนภาพ 10 ปีที่ผ่านมา อีกทั้งการลงทุนหุ้นปันผลยังเป็นการกระจายความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ และหากเลือกหุ้นที่ดีมีโอกาสเพิ่มผลตอบแทนจากเงินปันผล เป็นความเซ็กซี่ของหุ้นกลุ่มนี้ ขณะที่ราคาหุ้น Value ปรับตัวลงมามาก ถึงจุดน่าสนใจ โดยเฉพาะเมื่อเทียบอดีตใกล้เคียงช่วงก่อนเกิดโควิด จึงมองเป็นจังหวะเข้าลงทุนหุ้นดี ราคาเหมาะสมและถูก"นายจอช กล่าว

นอกจากนี้ในภาวะตลาดขาลง หุ้น Value ก็ปรับตัวลงน้อยกว่าตลาด เนื่องจากบริษัทที่มีการจ่ายเงินปันผลระดับสูงมักมีโมเดลธุรกิจที่มีความมั่นคง กระแสเงินสดดี งบดุลแข็งแกร่งและบริษัทมีการบริหารจัดการภายใน เพื่อเตรียมเงินไว้จ่ายปันผล ซึ่งจากสถิติหุ้นที่มีการจ่ายปันผลดี สม่ำเสมอและมีโอกาสเติบโตให้ผลตอบแทนที่ดีและความเสี่ยงต่ำกว่าหุ้นอื่นๆ

นายจอช กล่าวว่า ภาพรวมมูลค่าการจ่ายเงินปันผลของบริษัทจดทะเบียนทั่วโลกเพิ่มขึ้นตอเนื่องอยู่ที่ 1.93 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ เติบโต 8.4% ต่อปี ซึ่งเติบโตทุกภูมิภาค ส่วนหนึ่งมาจากหลายบริษัทมีสถานะการเงินที่แข็งแกร่ง กระแสเงินสดดีสามารถจ่ายเงินปันผลได้และมีแนวโน้มการเติบโต

สำหรับกองทุน ABGDD เน้นลงทุนหุ้นพื้นฐานดีที่ปันผลสม่ำเสมอและมีโอกาสเติบโต สัดส่วน 95% ของพอร์ต ส่วน 5% ที่เหลือมองหาเงินปันผลที่มากกว่ากองทุนอื่นๆ โดยจะหาหุ้นบริษัทที่ดีเพื่อเข้าซื้อหุ้นก่อนขึ้นเครื่องหมาย XD และบางจังหวะจะใส่เงินเพิ่มเพื่อรับเงินปันผลเพิ่มมากขึ้น หรือหาหุ้นที่มีการจ่ายเงินปันผลแบบพิเศษ ซึ่งบางบริษัทอาจปรับโครงสร้างงบดุลภายในให้สถานการณ์ดีหรือมีการขายสินทรัพย์หรือบริษัทลูกมีเงินสดเข้ามาก็สามารถจ่ายเงินปันผลพิเศษได้

"กองทุน ABGDD มุ่งสร้างผลตอบแทนจากเงินปันผลอยู่ 7% ต่อปี เพื่อให้ Stable มั่นคงและยั่งยืน สะท้อนได้จากการจ่ายเงินปันผลทุกเดือน ในอดีตสามารถปันผลได้ในระดับ 5-7% ต่อปีและในปี 2565 ที่ตลาดปรับตัวลงกองทุนยังสามารถจ่ายผลตอบแทนได้ 8.04% เนื่องจากบริษัทที่ลงทุนแม้จะจดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ แต่มีรายได้จากยุโรปและเอเชียด้วย"นายจอช กล่าว

อเบอร์ดีนมองตลาดหุ้นไทย โดนปัจจัยทั้งในและต่างประเทศรุมเร้า คาดdownside ใกล้จบแล้ว หลังดัชนีลดลงมากกว่า 200 จุดหลังเลือกตั้ง