ผลวิจัยล่าสุดชี้ แบรนด์ไทยมีความก้าวหน้าเป็นอย่างมากในการใช้ Generative AI สำหรับผู้บริโภคและพนักงาน

ข่าวประชาสัมพันธ์ »

  • ราว 3 ใน 5 (61%) ของแบรนด์ในไทยได้ปรับใช้ Generative AI และพนักงานกว่า 9 ใน 10 คนใช้ Generative AI ในแคมเปญด้านการตลาดและประสบการณ์ลูกค้า
  • รายงานฉบับเดียวกันนี้ระบุว่า แบรนด์ต่าง ๆ "ไม่ได้" ให้ความสำคัญต่อปัจจัยที่กระตุ้นความเชื่อมั่นและการใช้จ่ายของผู้บริโภค ซึ่งได้แก่ "ความปลอดภัยของข้อมูล ความยั่งยืน และความสะดวกในการเข้าถึงสินค้า"
  • ในสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจที่ท้าทาย ราว 1 ใน 3 (33%) ของผู้บริโภคชาวไทยมีแนวโน้มที่ยังคงภักดีต่อแบรนด์ที่พวกเขาไว้วางใจ และราวครึ่งหนึ่ง (49%) มีแนวโน้มที่จะใช้จ่ายมากขึ้น

แบรนด์ต่าง ๆ ในประเทศไทยให้ความสำคัญกับประสบการณ์ของลูกค้าในการขับเคลื่อนการเติบโตของธุรกิจ แต่กลับประสบปัญหาเนื่องจากงบประมาณที่ลดลง ตามรายงานผลการศึกษาวิจัยฉบับล่าสุดจากอะโดบี ทั้งนี้ องค์กรต่าง ๆ ในไทยปรับลดงบประมาณด้านการตลาดและประสบการณ์ลูกค้าเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย โดย 34% ได้ดำเนินการไปแล้ว และ 33% จะลดงบประมาณอีก 12 เดือนข้างหน้า

ผลวิจัยล่าสุดชี้ แบรนด์ไทยมีความก้าวหน้าเป็นอย่างมากในการใช้ Generative AI สำหรับผู้บริโภคและพนักงาน

องค์กรธุรกิจในไทยพยายามที่จะปรับปรุงประสิทธิภาพด้วยการปรับใช้โซลูชั่นเทคโนโลยีที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน (62%) และการนำเอา Generative AI มาใช้ (61%) เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว พบว่า มีเพียง 64% ของแบรนด์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (SEA) ได้แก่ ไทย, มาเลเซีย และสิงคโปร์ ที่ลงทุนในเทคโนโลยีที่ช่วยปรับปรุงขั้นตอนการทำงาน และ 56% กำลังปรับใช้ Generative AI ผลวิจัยล่าสุดชี้ แบรนด์ไทยมีความก้าวหน้าเป็นอย่างมากในการใช้ Generative AI สำหรับผู้บริโภคและพนักงาน

ผู้บริโภคในไทยรู้สึกตื่นเต้นกับการที่ Generative AI ช่วยปรับปรุงสินค้าและบริการ (46%) และประสบการณ์ของลูกค้า (48%) และประเด็นที่น่าสนใจคือ 28% ของผู้บริโภคชาวไทยเชื่อว่าการใช้ประโยชน์จาก Generative AI เป็นสิ่งจำเป็นที่จะช่วยให้องค์กรธุรกิจรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันเมื่อเทียบกับ 35% ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

สำหรับในที่ทำงาน พนักงานในไทยส่วนใหญ่ (95%) กล่าวว่าพวกเขาได้ใช้ Generative AI ในแคมเปญด้านการตลาดและประสบการณ์ลูกค้าแล้ว ในทางตรงกันข้าม มีผู้ตอบแบบสอบถามชาวไทยเพียง 54% บอกว่าบริษัทที่พวกเขาทำงานให้ในปัจจุบันกำลังใช้เครื่องมือ Generative AI โดยพนักงาน (57%) ใช้โปรแกรม text-to-image ในการจัดทำสื่อและคอนเทนต์สำหรับการส่งเสริมการขายของแบรนด์  ขณะที่ 52% ใช้สำหรับพัฒนาแนวคิดและตัวอย่างแคมเปญต่าง ๆ นอกจากนี้ พนักงานราวครึ่งหนึ่ง (50%) ใช้เครื่องมือดังกล่าวสำหรับการสร้าง copywriting รวมถึงการศึกษาวิจัยและการกลั่นกรองข้อมูลเชิงลึก

อย่างไรก็ดีรายงานยังระบุว่า 95% ของพนักงานในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังใช้เครื่องมือ Generative AI ในแคมเปญด้านการตลาด ขณะที่มีเพียง 42% ของผู้ตอบแบบสอบถามในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กล่าวว่าบริษัทของพวกเขากำลังใช้เครื่องมือ Generative AI

ไซม่อน เดล รองประธานบริหาร และกรรมการผู้จัดการประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเกาหลีของอะโดบี กล่าวว่า "พนักงานส่วนใหญ่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ใช้เครื่องมือ Generative AI ในการทำงาน สิ่งนี้ตอกย้ำความจำเป็นที่องค์กรต้องดำเนินการเชิงรุกและมีนโยบายที่ควบคุมการใช้ AI รวมทั้งความสามารถในการจัดการและควบคุมศักยภาพของเทคโนโลยี AI ในที่ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ขณะที่เทคโนโลยี Generative AI ยังคงมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง การที่เรายังไม่มีมาตรการป้องกันที่แข็งแกร่งและหลักจริยธรรมสำหรับ AI อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อองค์กร และอาจทำลายความเชื่อมั่นของผู้บริโภค"

แบรนด์ไทยควรให้ความสำคัญกับปัจจัยหลักที่ส่งเสริมความเชื่อมั่นและการใช้จ่าย ซึ่งได้แก่ "ความปลอดภัยของข้อมูล ความยั่งยืน และความสะดวกในการเข้าถึงสินค้า"

ผลการศึกษาของอะโดบีพบว่า ในสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจที่ท้าทาย ความเชื่อมั่นต่อแบรนด์ถือเป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดการใช้จ่ายของผู้บริโภค โดยราว 1 ใน 3 (33%) ของผู้บริโภคในไทยระบุว่าพวกเขามีแนวโน้มที่จะภักดีต่อแบรนด์ที่พวกเขาไว้วางใจ ขณะที่ราวครึ่งหนึ่ง (49%) มีแนวโน้มที่จะใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้นต่อแบรนด์ดังกล่าว

ท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจที่ท้าทาย ปัจจัยสำคัญอันดับหนึ่งในการสร้างความไว้วางใจของผู้บริโภคก็คือ "ความปลอดภัยของข้อมูล และการใช้งานข้อมูลอย่างเหมาะสม"  ส่วนอันดับรองลงมาคือ การจัดหาสินค้าและบริการที่เป็นประโยชน์ต่อผู้คนและโลกของเรา โดยจะต้องได้รับการพัฒนาอย่างมีความรับผิดชอบไปพร้อมๆ กัน  ปัจจัยเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะช่วยให้ลูกค้าเพิ่มงบในการใช้จ่ายกับแบรนด์

ในทางกลับกัน ผู้บริโภคชาวไทยส่วนใหญ่ (81%) กล่าวว่าพวกเขาจะลดการใช้จ่ายกับแบรนด์ที่ไม่มีการปกป้องข้อมูลให้ปลอดภัยและไม่เคารพความเป็นส่วนตัว และเกือบครึ่งหนึ่ง (37%) ปฏิเสธที่จะใช้จ่ายกับแบรนด์นั้น ๆ อย่างสิ้นเชิง ประสบการณ์การเข้าถึงที่ไม่สะดวกและไม่เอื้อต่อความต้องการของผู้พิการจะทำให้ผู้บริโภคราว 76% ใช้จ่ายน้อยลง ขณะที่ 78% จะลดการใช้จ่ายหากแบรนด์นั้น ๆ ไม่ปฏิบัติตามกฎระเบียบเกี่ยวกับความยั่งยืน

แม้ว่าจะส่งผลกระทบต่อตัวเลือกการใช้จ่ายของผู้บริโภค แต่ 46% ของแบรนด์ในเอเชีย-แปซิฟิก (APAC) ไม่เห็นว่าความปลอดภัยของข้อมูลมีความสำคัญต่อการดึงดูดและรักษาลูกค้าไว้  สำหรับสินค้าและบริการที่เข้าถึงได้อย่างสะดวกและมีความยั่งยืน ตัวเลขดังกล่าวเพิ่มขึ้นเป็น 51% และ 54% ตามลำดับ

ไซม่อน เดล กล่าวเพิ่มว่า "ผู้บริโภคให้ความสำคัญมากขึ้นกับความเป็นส่วนตัวของข้อมูล รวมถึงวิธีการที่แบรนด์ต่าง ๆ นำเสนอเรื่องความยั่งยืนและความสะดวกในการเข้าถึงสินค้า ด้วยเหตุนี้ เพื่อรักษาความเชื่อมั่นต่อแบรนด์ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของตลาดและพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป แบรนด์ต่าง ๆ จะต้องแสดงให้เห็นถึงแนวทางปฏิบัติที่เหมาะสมและความรับผิดชอบต่อสังคม รวมถึงการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัลที่ทันสมัยเพื่อสร้างความได้เปรียบทางธุรกิจ ซึ่งนอกจากจะช่วยดึงดูดลูกค้าแล้ว ยังช่วยปกป้องข้อมูลของผู้บริโภคให้ปลอดภัยอีกด้วย"

เกี่ยวกับผลการศึกษาวิจัย

ผลการศึกษาวิจัยนี้ได้มาจากการสำรวจความคิดเห็นทางออนไลน์ของผู้บริโภคกว่า 16,113 คน และบุคลากรฝ่ายการตลาดและประสบการณ์ลูกค้า 4,250 คนทั่วโลก  การสำรวจนี้จัดทำโดย Advanis และเริ่มดำเนินการภาคสนามในเดือนพฤษภาคม 2566  ข้อมูลวิเคราะห์สำหรับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (SEA) ประกอบด้วยกลุ่มตัวอย่างของผู้ตอบแบบสำรวจที่เป็นผู้บริโภค 1,005 คน และบุคลากรฝ่ายการตลาดและประสบการณ์ลูกค้า 676 คนในประเทศไทย มาเลเซีย และสิงคโปร์

เกี่ยวกับอะโดบี

Adobe กำลังใช้ประสบการณ์ดิจิทัลเปลี่ยนแปลงโลก สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม อ่านข้อมูลเพิ่มเติมที่ adobe.com/sea

(C) 2023 Adobe. All rights reserved. Adobe and the Adobe logo are either registered trademarks or trademarks of Adobe in the United States and/or other countries. All other trademarks are the property of their respective owners


ข่าวความยั่งยืน+ความปลอดภัยวันนี้

ซีพีเอฟ ติดอันดับ Fortune Southeast Asia 500 ปี 2025 ตอกย้ำความเป็นผู้นำระดับภูมิภาค

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ได้รับการจัดอันดับที่ 16 ใน Fortune Southeast Asia 500 ประจำปี 2025 สะท้อนถึงความสำเร็จจากการดำเนินงานด้วยกลยุทธ์ภายใต้แนวคิด นวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน หรือ Sustainovation ด้วยการผสานนำนวัตกรรมและเทคโนโลยี กับแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน เพื่อสร้างการเติบโตที่มั่นคงและอย่างยั่งยืน ซีพีเอฟเดินหน้าวิสัยทัศน์ "ครัวของโลกด้วย Sustainovation" ด้วยการยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยทางอาหารและประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเกษตรอัจฉริยะเพื่อผลิตอาหารที่ดีต่อสุขภาพและ

บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มห... OR คว้าอันดับ 1 ระดับโลกด้านความยั่งยืนจาก S&P Global CSA Score 2024 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 — บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR ตอกย...

ธนชาตประกันภัย ร่วมสร้างความยั่งยืนด้านสิ... ธนชาตประกันภัย หนุนเกษตรกรร่วมฟื้นฟูป่าต้นน้ำน่าน เดินหน้าสร้างสมดุลสิ่งแวดล้อม — ธนชาตประกันภัย ร่วมสร้างความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม สนับสนุนเงินอุปถัมภ์ต...

บริษัท ไทยน้ำทิพย์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มห... "ไทยน้ำทิพย์" ผนึกความร่วมมือคู่ค้าขับเคลื่อนความยั่งยืน นำร่อง 11 คู่ค้าหลัก — บริษัท ไทยน้ำทิพย์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ผสานความร่วมมือกับ 11 คู่ค้า...

ผศ.ดร.อนุชา ทีรคานนท์ (คนกลาง) ผู้อำนวยกา... SACIT ประกาศเดินหน้าโครงการ SACIT Craft Collection 2025 สร้างความเชื่อมั่นงานคราฟต์ไทยในเวทีโลก — ผศ.ดร.อนุชา ทีรคานนท์ (คนกลาง) ผู้อำนวยการสถาบันส่งเสริม...