เผยล่าสุดมีรง.สมุนไพรได้มาตรฐาน GMP PIC/s 56 แห่ง รองรับความต้องการเพียงพอ
ชี้เป็นก้าวสำคัญสู่การเป็น Hub สมุนไพรแห่งอาเซียนรองรับการขาดแคลนยาในเหตุการณ์วิกฤต
- กลุ่มอุตสาหกรรมสมุนไพร สภาอุตสาหกรรม ผนึกสมาคมผู้ผลิตยาสมุนไพร สนับสนุนรัฐบาลผลักดันยาสมุนไพรไทยสู่ระบบบริหารสุขภาพ เปิดข้อมูลการผลิตสมุนไพรไทยปัจจุบันด้วยโรงงานมาตรฐานสากล GMP PIC/s 56 แห่ง มั่นใจมีปริมาณเพียงพอรองรับความต้องการที่เพิ่มมากขึ้น
- เผยคุณภาพยาสมุนไพรปัจจุบันไม่น้อยหน้ายาแผนปัจจุบัน เหตุมีงานวิจัยรองรับ ผ่านกลไกการศึกษาการออกฤทธิ์เทียบเคียงยาแผนปัจจุบัน ช่วยเพิ่มทางเลือกให้กับระบบสาธารณะสุข พร้อมระบุการนำยาสมุนไพรไทยเข้าระบบบริการสุขภาพไม่ใช่เรื่องใหม่ มีใช้ในบัญชียาหลักตั้งแต่ปี 2542 และยาแผนปัจจุบันที่ใช้รักษาโรคพื้นฐานหลายตัวก็มีส่วนผสมมาจากสมุนไพรมั่นใจไม่ส่งผลกระทบต่อผู้ใช้
- การนำเข้าระบบบริการสุขภาพเป็นจุดเริ่มต้นผลักดันสมุนไพรไทยสู่อาเซียน ลดการนำเข้าจากปัจจุบันสูงถึง 90% ช่วยเพิ่มการส่งออก และสร้างความมั่นคงทางยารักษาโรคในไทย โดยเฉพาะในภาวะวิกฤต เช่น ช่วง โควิด -19 ประเทศไทยไม่สามารถผลิตยาได้เองจนเกิดผลกระทบในวงกว้าง
นายสิทธิชัย แดงประเสริฐ ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมสมุนไพร ในสภาอุตสาหกรรม (ส.อ.ท. กลุ่มสมุนไพร) เปิดเผยว่า จากกรณีที่ภาครัฐสนับสนุนให้ยาสมุนไพรเข้าไปอยู่ในระบบบริการสุขภาพ เพื่อเป็นทางเลือกในการจ่ายยาสำหรับโรคพื้นฐานที่ไม่ใช่โรคร้ายแรงโดยไม่ได้ออกเป็นข้อบังคับนั้น ส.อ.ท. กลุ่มสมุนไพรมองว่าเป็นนโยบายที่มีข้อดีหลายด้าน ทั้งในด้านเศรษฐกิจ และด้านสาธารณะสุข โดยในด้านเศรษฐกิจนั้น จะช่วยลดการนำเข้ายาจากต่างประเทศได้ดีขึ้น จากข้อมูลปีงบประมาณ 2567 พบว่าการใช้ยาแผนปัจจุบันในสถานบริการสาธารณสุขของรัฐ มีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 70,543 ล้านบาท โดยจำนวนนี้มีมูลค่ายาสมุนไพรเพียง 1,560 ล้านบาท หรือคิดเป็น 2.21% และยาที่ใช้อยู่ในปัจจุบันนำเข้าจากต่างประเทศ 90% ซึ่ง ส.อ.ท. กลุ่มสมุนไพรมีเป้าหมายต้องการผลักดันให้ประเทศไทยสามารถเพิ่มสัดส่วนการใช้ยาสมุนไพรขึ้นไปอยู่ที่ 10% ด้วยการเข้มงวดมาตรฐานการผลิต สนับสนุนให้มีโรงงานผลิตยาสมุนไพรไทยที่ได้มาตรฐาน GMP PIC/s ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยมีโรงงานที่ได้มาตรฐาน GMP PIC/s แล้วจำนวน 56 แห่ง จึงสร้างความมั่นใจให้ผู้ใช้ยาได้ว่ายาที่นำเข้าสู่ระบบเป็นยาที่ได้มาตรฐานระดับสากล และมีปริมาณเพียงพอต่อการใช้งานประมาณมากอย่างแน่นอน
นอกจากนี้การนำยาสมุนไพรไทยเข้าไปใช้ในระบบบริการสุขภาพอย่างแพร่หลายมากขึ้นนั้นเป็นการช่วยสร้างความมั่นใจให้กับต่างชาติในการยอมรับยาสมุนไพรไทยมากขึ้น ทำให้ไทยมีโอกาสส่งออกยาสมุนไพรได้มากขึ้น และมองว่าการเริ่มต้นครั้งนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นให้ไทยสามารถก้าวเข้าสู่ Hub ด้านสมุนไพรของอาเซียนได้เร็วขึ้น ขณะเดียวกันในส่วนของข้อดีด้านสาธารณะสุขจากนโยบายนี้ยังช่วยให้คนไทยมีทางเลือกในการเข้าถึงยาที่มีราคาถูกลง รวมถึงเป็นการสร้างความมั่นคงด้านยารักษาโรคให้ประเทศชาติโดยเฉพาะในช่วงที่เกิดวิกฤต เช่น ที่ผ่านมาในช่วงการระบาดของโรคโควิด - 19 ประเทศไทยที่ไม่มีวัคซีนและยาของตัวเองก็ทำให้เกิดปัญหา รวมถึงเหตุการณ์ที่คลองสุเอชไม่สามารถขนส่งสินค้าได้เนื่องจากมีเรือขนาดใหญ่ติดอยู่ก็ทำให้ประเทศไทยเกิดวิกฤตด้านยารักษาโรคเช่นกัน ดังนั้นการผลักดันนโยบายการใช้สมุนไพรเป็นอีกหนึ่งวิธีในการพัฒนาสมุนไพรไทย เนื่องจากหากมีการใช้อย่างแพร่หลายผู้ผลิตก็จะมีกำลังในการวิจัยและพัฒนาให้เกิดยาที่หลากหลายขึ้นจากปัจจุบันที่ยังจำกัดอยู่ที่ยารักษาโรคพื้นฐานเท่านั้น
นายศรัณย์ แจ้วจิรา นายกสมาคมผู้ผลิตยาสมุนไพร กล่าวว่า ยาสมุนไพรไทยมีประวัติการใช้อย่างยาวนาน ปัจจุบันมีงานวิจัยรองรับ มีกระบวนการทดลองทางวิทยาศาสตร์ เปรียบเทียบกับยาแผนปัจจุบัน มีประสิทธิภาพเทียบเคียงกัน และมีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์มากขึ้น ทั้งยังมีการผลิตที่ทันสมัยและมีมาตรฐานการผลิตที่ยอมรับในระดับสากล GMP PIC/s อย่างไรก็ตามการนำยาสมุนไพรเข้าสู่ระบบบริการสุขภาพไม่ใช่เรื่องใหม่เนื่องจากมีการใช้ยาสมุนไพรในบัญชียาหลักแห่งชาติ มาตั้งแต่ปี 2542
มียาสมุนไพรที่ผ่านการยอมรับ เข้าสู่ยาบัญชียาหลัก ยาสมุนไพรแห่งชาติ 116 รายการ แบ่งเป็นกลุ่มอาการของโรค 15 กลุ่มอาการ และกลุ่มอาการของโรคส่วนมากก็จะเป็นกลุ่มอาการโรคพื้นฐาน เช่น แก้ไข้ แก้ไอ แก้หวัด หรือ แก้ท้องผูก ริดสีดวง แก้อาหารไม่ย่อย หรือโรคกระเพาะ และอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ กลุ่มอาการของโรคที่รุนแรง
ปัจจุบันภาครัฐออกนโยบายส่งเสริมการใช้สมุนไพรมากขึ้น โดยเฉพาะการระบุให้ยาแผนปัจจุบัน 5 รายการ ที่จ่ายเป็นยาสมุนไพรได้ ได้แก่ อาการปวดเมื่อย ใช้ครีมไพลทดแทนกลุ่มยาทาภายนอกลดปวด เช่น diclofenac, อาการไอ ใช้ยามะแว้งหรือยามะขามป้อมทดแทน diphenhydramine หรือ codeine, อาการท้องอืด ใช้ขมิ้นชันทดแทน simethicone, อาการท้องผูก ใช้มะขามแขกทดแทน bisacodyl และอาการริดสีดวงทวาร ใช้เพชรสังฆาตทดแทน diosmin 450 mg ร่วมกับ hesperidin 50 mg ทั้งนี้สมุนไพรเหล่านี้ได้รับการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์แล้วว่ามีประสิทธิภาพเทียบเคียงได้เนื่องจากยาแผนปัจจุบันหลายตัวที่กล่าวมาก็มีส่วนผสมมาจากสมุนไพรอยู่แล้ว อย่างไรก็ดียังต้องมีกระบวนการถ่ายทอดข้อมูล แก่ บุคลากร แพทย์ เภสัชกร และบุคลากรสาธารณสุข ให้เกิดความรู้ความเข้าใจสมุนไพรมากขึ้น โดยเฉพาะควรให้ทราบถึงผลงานวิจัยของยาสมุนไพรแต่ละชนิดที่ผ่านกระบวนการวิจัยแลพัฒนาทางวิทยาศาสตร์ มีบรรจุภัณฑ์ มีขนาดบ่งใช้กำหนดที่ได้มาตรฐาน ซึ่งแตกต่างจากสมัยโบราณที่ยังไม่ผ่านงานวิจัยและมีขนาดการใช้ไม่แน่นอนทำให้ยากต่อการรักษาโรค
"หากบุคลากรทางการแพทย์เข้าถึงข้อมูลปัจจุบันของสมุนไพรไทยเชื่อว่าจะเปิดใช้ยอมรับจะได้มีการยอมรับยาสมุนไพรมากขึ้น จะสามารถส่งเสริมการใช้ยาสมุนไพรได้มากขึ้นทีเดียว ซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศทั้งผู้ปลูก โรงงานผลิต และผู้จัดจำหน่าย ปัจจุบันประเทศไทยส่งออกสมุนไพรอันดับ 1 ของอาเซียน แต่ในตลาดโลกยังไม่ติด 1 ใน 10 ดังนั้นหากระบบบริการสุขภาพของไทยหันมาใช้สมุนไพรเป็นทางเลือกก็จะเป็นจุดที่สร้างมั่นใจให้คนในประเทศยอมรับสมุนไพรมากขึ้น และเกิดแรงส่งไปสู่ตลาดส่งออกได้" นายศรัณย์ กล่าว
SAPPE คว้า SET ESG Ratings 2025 ระดับ A ติดอันดับหุ้นยั่งยืนต่อเนื่อง 4 ปีซ้อน ตอกย้ำมาตรฐานธุรกิจยั่งยืนในทุกมิติ
TOA ยืนหนึ่ง! คว้าหุ้นยั่งยืน ระดับสูงสุด 'AAA' จากการประเมิน SET ESG Ratings ปี 2568ตอกย้ำผู้นำอุตสาหกรรมสี - เคมีภัณฑ์ พร้อมยกระดับสู่มาตรฐานความยั่งยืนระดับสากล
ILINK ยกระดับศักยภาพองค์กร คว้าคะแนน SET ESG Ratings ในระดับ AA ประจำปี 2568
MBK คว้าเรตติ้งระดับสูงสุด AAA หุ้นยั่งยืน SET ESG Rating 2025 ยกระดับการดำเนินธุรกิจที่เติบโตอย่างยั่งยืน
กลุ่ม ปตท. และกลุ่มฯ โรงกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม ส.อ.ท. เดินหน้าขับเคลื่อนประเทศไทย ด้วยพลังงานที่ยั่งยืน และคาดการณ์ราคาน้ำมันปี 69
เมกาโฮม ปักหมุด "เวียงสระ" เสริมแกร่งเครือข่ายค้าปลีกวัสดุก่อสร้างสู่ภาคใต้ตอนบน จุดเชื่อมใหม่เศรษฐกิจ-การค้า-คมนาคม-เกษตร เมืองสุราษฎร์ฯ
ยูกันดาชี้โอกาสทองแก่นักลงทุนไทย เปิด 4 อุตสาหกรรมเด่น พร้อมสิทธิประโยชน์การค้าและการลงทุนครบวงจร รุกตลาดแอฟริกา 500 ล้านคน
JSP ฮอตเว่อร์ "เมธา สิมะวรา" ขึ้นแท่นผถห.เบอร์ใหญ่ มั่นใจผลงานโตเกินต้าน คาดสตอรี่ปีนี้โต 20-30%