ประเทศไทยมีพื้นที่เขตเกษตรกรรมประมาณ 153.18 ล้านไร่ หรือ ร้อยละ 48 ของพื้นที่ประเทศ รองรับเกษตรกรกว่า 5.8 ล้านครัวเรือน เป็นแหล่งผลิตสินค้าเกษตรและอาหารสำคัญภายในประเทศ และสำหรับการส่งออก สร้างความมั่นคงด้านอาหารและรายได้ของประเทศ รวมถึงลักษณะภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นที่ราบน้ำท่วมถึง (Flood Plain) ทำให้พื้นที่เกษตรในหลายจังหวัดได้รับผลกระทบจาก น้ำท่วมในฤดูน้ำหลาก ส่งผลให้เกษตรกรต้องมีการปรับตัวและเตรียมความพร้อม เพื่อลดความเสี่ยงและผลกระทบทางการผลิตที่อาจเกิดขึ้นจากความแปรปรวนของสภาพอากาศ

นายพีรพันธ์ คอทอง อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวว่า ภัยน้ำท่วมไม่ใช่เรื่องฉุกเฉินเฉพาะหน้าแต่กลายเป็นความเสี่ยงถาวรของเกษตรกรในหลายพื้นที่ จึงได้เร่งปรับบทบาทการทำงานจากการรอสำรวจความเสียหายมาเป็นการ 'ประเมินล่วงหน้า - เตือนล่วงหน้า - วางแผนฟื้นฟูล่วงหน้า' ผ่านชุดข้อมูลแผนที่ความเสี่ยง และการจำแนกกลุ่มพืชตามระดับความเปราะบางและความล่อแหลม โดยยกระดับมาตรการรับมือภัยน้ำท่วมในภาคการเกษตร ด้วยการจัดระบบการประเมินความเสี่ยงรายพืช รายพื้นที่ และการเตรียมความพร้อมเจ้าหน้าที่ระดับอำเภอและตำบลให้สามารถเป็น "ด่านหน้า" ที่เชื่อมโยงการเตือนภัย การจัดการน้ำ และการฟื้นฟูพืชผลอย่างเป็นระบบให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร เปิดเผยว่า ขณะนี้ ได้สั่งการให้ทุกพื้นที่จัดทำแผนที่พื้นที่เสี่ยงน้ำท่วม (Flood Risk Map) แนวโน้มพื้นที่เกษตรเสี่ยงน้ำท่วม พร้อมจัดทำแนวทาง การรับมือ วางแผน 4 ระยะสำคัญในการรับมือภัยพิบัติ เพื่อเป็นชุดข้อมูลการสื่อสารให้กับเจ้าหน้าที่เพื่อลงไปทำความเข้าใจกับเกษตรกร โดยวิเคราะห์จากพื้นที่น้ำท่วมซ้ำซาก ในระยะ 5 ปี ที่ผ่านมา และวิเคราะห์ความเปราะบางของแต่ละพื้นที่ตามพืชที่ปลูก เพื่อชี้เป้าพื้นที่เสี่ยงภัยพิบัติ เกษตรกรตระหนักถึงผลกระทบและแจ้งเตือนเกษตรกรอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการวางแผนการเข้าเยี่ยม/ฟื้นฟู แบ่งเป็น 4 ระยะ ดังนี้
- ระยะลดผลกระทบ (Mitigation) โดยการวางแผนล่วงหน้า ปรับแปลงเพาะปลูกให้มีทางระบายน้ำ
สร้างคันดินหรือประตูน้ำ เลือกพืชที่ทนทานต่อภาวะน้ำหลาก รวมถึงจัดตารางปลูกให้เหมาะกับฤดูกาล - ระยะเตรียมพร้อม (Preparedness) ติดตามพยากรณ์อากาศและประกาศเตือนภัยจากหน่วยงานราชการ เตรียมเครื่องสูบน้ำ อุปกรณ์ป้องกัน และวางแผนอพยพหรือเก็บเกี่ยวผลผลิตในกรณีฉุกเฉิน
- ระยะตอบสนอง (Response) เร่งระบายน้ำออกจากพื้นที่เกษตรทันทีเมื่อระดับน้ำลด ติดตั้งเครื่องสูบน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ เฝ้าระวังฝนตกเพิ่มและน้ำจากต้นน้ำ สนับสนุนอาหาร น้ำ และเครื่องมือเร่งด่วนให้เกษตรกร
- เฝ้าระวังโรคพืชและสัตว์ที่มักระบาดในสภาพน้ำขังระยะฟื้นฟู (Recovery) หลังน้ำลด ดำเนินการฟื้นฟูพื้นที่เพาะปลูก สำรวจความเสียหายและซ่อมแซมโครงสร้างแปลงปลูก แจกจ่ายพันธุ์พืช เมล็ดพันธุ์สำหรับปลูกซ่อม ปรับปรุงดินหลังน้ำลดด้วยปุ๋ยอินทรีย์หรือปูนขาว ส่งเสริมการปลูกพืชอายุสั้นหรือพืชรายได้เร็วเพื่อฟื้นกระแสเงินสด
ตัวอย่างความเปราะบางของกลุ่มพืชต่อภาวะน้ำท่วม เช่น ข้าว: หากน้ำท่วมช่วงข้าวออกรวง เมล็ดอาจงอกคารวง เสียหายหนัก แม้ในพื้นที่ลุ่ม พืชไร่ ได้แก่ ข้าวโพด มันสำปะหลัง อ้อย ทนน้ำขังได้ไม่เกิน 2 - 3 วัน จะส่งผลให้รากเน่า โคนเน่าและต้นตาย พืชสวน ได้แก่ ทุเรียน มะม่วง มะนาว จมน้ำเกิน 3 - 5 วัน โดยเฉพาะรากอ่อนในช่วงออกผล พืชผัก ได้แก่ คะน้า ผักกาด หอม กระเทียม ต้นช้ำและเน่าเร็วแม้ถูกน้ำท่วมเพียง 1 - 2 วัน พืชน้ำมัน : ถั่วลิสง ถั่วเหลือง งา ฝักเน่าเสียหายหากน้ำขังเกิน 24 ชั่วโมง ปาล์ม/มะพร้าวต้นเล็กเสี่ยง โค่นล้ม เป็นต้น
ขอให้เกษตรกรติดตามข้อมูลพยากรณ์อากาศและข่าวสารจากหน่วยงานของรัฐอย่างใกล้ชิด และสามารถขอคำแนะนำเพิ่มเติมได้ที่สำนักงานเกษตรอำเภอและสำนักงานเกษตรจังหวัดใกล้บ้าน และปฏิบัติตามคำแนะนำเพื่อความพร้อมรับมือ ลดผลกระทบจากอุทกภัยที่อาจเกิดขึ้นในช่วงฤดูฝน