บริษัทที่นำกลยุทธ์ควบรวมและซื้อกิจการ (M&A) มาเป็นแกนหลักในการเปลี่ยนผ่านธุรกิจ สามารถสร้างผลตอบแทนเหนือคู่แข่งที่ดำเนินธุรกิจรูปแบบเดิม โดยสามารถสร้างผลตอบแทนแก่ผู้ถือหุ้นเฉลี่ยสูงถึงร้อยละ 464 ซึ่งมากกว่าค่าเฉลี่ยของดัชนี S&P 1200 ถึงสองเท่า จากรายงานวิจัยล่าสุดของดีลอยท์ "คู่มือสำหรับนักเปลี่ยนผ่านด้านการเติบโต (The Growth Transformer's Playbook)"
การวิเคราะห์ดีลขนาดใหญ่กว่า 2,000 รายการตั้งแต่ปี พ.ศ. 2558 เป็นต้นมา[1] พบว่า "องค์กรที่เน้นการเติบโตเชิงเปลี่ยนผ่าน (Growth Transformer)" ที่เข้าซื้อกิจการและขายสินทรัพย์อย่างมีกลยุทธ์ และมีการสร้างความร่วมมือในระบบนิเวศ กำลังเป็นผู้นำในการเติบโตทางธุรกิจท่ามกลางความผันผวนด้านกฎระเบียบ กระแสชาตินิยมทางเศรษฐกิจ และการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี
บริษัทกลุ่มนี้ได้กำหนดนิยามใหม่ของการสร้างมูลค่าทางธุรกิจ การเข้าถึงตลาดใหม่ และการปรับรูปแบบโมเดลธุรกิจให้ทันสมัย ทั้งนี้ ดีล M&A ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังเผชิญทั้งความท้าทายเชิงโครงสร้างและโอกาสใหม่ ๆ แนวทางการควบรวมและการซื้อกิจการเชิงเปลี่ยนผ่าน (Transformational M&A) ของดีลอยท์ จึงเป็นคู่มือสำคัญสำหรับผู้นำองค์กรในการสร้างคุณค่าอย่างยั่งยืนในทุกขั้นตอนของดีล
ประเด็นสำคัญจากรายงาน:
- บริษัทที่ใช้กลยุทธ์การควบรวมและการซื้อกิจการเชิงเปลี่ยนผ่าน (Transformational M&A) สามารถสร้างผลตอบแทนแก่ผู้ถือหุ้นเฉลี่ยร้อยละ 464 ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยดัชนี S&P 1200 ที่ร้อยละ 157 กว่าสองเท่า
- การใช้ระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) และเทคโนโลยีขั้นสูงกลายเป็นหัวใจสำคัญของกลยุทธ์การทำ M&A โดยซีอีโอเกือบครึ่ง (ร้อยละ 47) ให้ความสำคัญกับการลงทุนในปัญญาประดิษฐ์ (AI) ไม่เพียงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ แต่เพื่อพลิกโฉมโมเดลและเร่งสร้างการเติบโตของธุรกิจอีกด้วย
- การตั้งเป้าหมายด้าน Synergy อย่างชัดเจนให้ผลลัพธ์ที่เหนือกว่า: บริษัทที่สามารถวิเคราะห์และสร้างคุณค่าร่วมกัน (Synergy) ได้อย่างเป็นระบบ ทั้งด้านต้นทุน รายได้ และกลยุทธ์ มีผลประกอบการเหนือเป้าหมายเฉลี่ยร้อยละ 23
- องค์กรที่มุ่งเน้นการเปลี่ยนผ่านด้านบุคลากรและทักษะดิจิทัล มีการดำเนินงานด้านนวัตกรรมเพิ่มขึ้นร้อยละ 30
แนวปฏิบัติ 6 ข้อ สำหรับองค์กรที่เน้นการเติบโตเชิงเปลี่ยนผ่าน (Growth Transformer)
จากการศึกษาของดีลอยท์ ผู้นำกลุ่มใหม่ในยุทธศาสตร์ M&A เชิงเปลี่ยนผ่านมีความโดดเด่นใน 6 ด้านสำคัญ ได้แก่:
- การควบรวมและการซื้อกิจการเชิงเปลี่ยนผ่าน (Transformational M&A) เป็นภารกิจของผู้นำองค์กรการกำหนดเส้นทางการเติบโตของธุรกิจแบบบูรณาการและในหลายมิติ โดยมี M&A และความร่วมมือเชิงกลยุทธ์เป็นแกนหลัก และภายใต้เจตนารมณ์ของผู้นำที่ชัดเจนและวิสัยทัศน์ระยะยาวที่สร้างแรงบันดาลใจ
- การเพิ่มมูลค่าจากพอร์ตโฟลิโอของธุรกิจอย่างต่อเนื่องการรักษาแนวคิด "ไม่หยุดนิ่ง (Always On)" ในการเพิ่มมูลค่าพอร์ตโฟลิโอการลงทุน มีการวิเคราะห์ การตรวจสอบและทบทวนพอร์ตโฟลิโอการลงทุนอย่างสม่ำเสมอ การเพิ่มประสิทธิภาพด้านต้นทุน การค้นหาแนวทางเติบโตใหม่ และดำเนินกลยุทธ์ M&A ด้วยแนวคิดแบบนักลงทุนเชิงรุก (Activist Investor)
- การดำเนินการเปลี่ยนผ่านเชิงกลยุทธ์ควบคู่ไปกับการทำดีลการกำหนดเป้าหมายการเปลี่ยนผ่านไว้ในกลยุทธ์และการดำเนินดีลตั้งแต่วันแรก โดยเชื่อมโยงกับแพลตฟอร์มดิจิทัล โครงสร้างข้อมูล และศักยภาพด้านเทคโนโลยีอย่างชัดเจน
- การกำหนดให้การใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และเทคโนโลยีเป็นแกนหลัก
การใช้เทคโนโลยีขั้นสูงไม่เพียงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุน แต่เพื่อพลิกโฉมรูปแบบโมเดลธุรกิจ การสร้างแหล่งรายได้ใหม่ และการเข้าถึงตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets)
- พลังจากการประสานความร่วมมือกันการสร้างพันธมิตรนวัตกรรมกับผู้ให้บริการ Hyperscale สตาร์ทอัพ และนักลงทุนเอกชน (Private Equity) เพื่อเร่งการดำเนินงาน การปรับรูปแบบโมเดลธุรกิจใหม่ การสร้างแหล่งรายได้ใหม่ และการเข้าถึงตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets)
- การพัฒนาบุคลากรเพื่อเตรียมความพร้อมสู่อนาคตการสร้างทีมงานที่มีความยืดหยุ่นและพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงในอนาคต ด้วยการขับเคลื่อนวัฒนธรรมองค์กรใหม่ และลงทุนในทักษะดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์ (AI) อย่างจริงจัง
เดวิด ฮิลล์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของดีลอยท์ เอเชียแปซิฟิก กล่าวถึงรายงานวิจัยฉบับนี้ว่า "ในสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทั้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ ห่วงโซ่อุปทาน ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และความยั่งยืน องค์กรจำเป็นต้องตอบสนองด้วยการเปลี่ยนผ่านเชิงกลยุทธ์อย่างแท้จริงซึ่งรวมถึงกลยุทธ์การควบรวมและการซื้อกิจการ (M&A) โดยดีล M&A ในปัจจุบันเป็นการเคลื่อนไหวเชิงกลยุทธ์ที่มีเป้าหมายชัดเจนเพื่อเร่งการเปลี่ยนผ่าน องค์กรต่าง ๆ ให้ความสำคัญในการบริหารธุรกิจในรูปแบบพอร์ตโฟลิโอมากขึ้น มีการพิจารณาและปรับสมดุลพอร์ตโฟลิโออย่างต่อเนื่อง มีแผนการดำเนินการอย่างรอบคอบและกำหนดกลยุทธ์เพื่อประสบผลสำเร็จ ทุกวันนี้การเปลี่ยนผ่านไม่ใช่ทางเลือก แต่คือเงื่อนไขของการอยู่รอดของธุรกิจ และการไม่เปลี่ยนแปลงกลับกลายเป็นความเสี่ยงสูงสุดขององค์กรในยุคนี้"
แนวโน้มการควบรวมและซื้อกิจการในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ในปี 2568 ภูมิทัศน์การควบรวมและซื้อกิจการ (M&A) ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังคงเผชิญกับความท้าทายเชิงโครงสร้างที่ต่อเนื่องควบคู่กับโอกาสใหม่ๆ โดยอุปสรรคสำคัญในอุตสาหกรรมหลักอย่างโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลและพลังงานหมุนเวียน ได้แก่ ช่องว่างราคาซื้อขายที่กว้างขึ้น วงจรการขายเงินลงทุน (Exit Cycle) ที่ยาวนานขึ้น และความลังเลของผู้ขายในการสละอำนาจควบคุมธุรกิจ นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงด้านกฎระเบียบและความซับซ้อนของความต้องการภายหลังการควบรวม โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านเทคโนโลยีและบุคลากร ยังเพิ่มความเสี่ยงในการทำดีล M&A
แม้จะมีความท้าทายเหล่านี้ ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังคงได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างต่อเนื่อง ด้วยแนวทางกำกับดูแลที่ยืดหยุ่น การไหลเข้าของเงินทุนที่แข็งแกร่ง และแนวโน้มอุปสงค์ภายในประเทศที่เติบโต ทั้งนักลงทุนเชิงกลยุทธ์และนักลงทุนทางการเงินจึงยังคงมองหาโอกาสในการเข้าลงทุนในภูมิภาคนี้ โดยอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มการเติบโตสูง เช่น เทคโนโลยี โทรคมนาคม สุขภาพ และพลังงานหมุนเวียน เป็นผู้นำดีล M&A ในภูมิภาคนี้ นอกจากนี้ ปัจจัย ทั้งการรวมตลาด (Market Consolidation) ล่าสุด ช่องว่างด้านมูลค่าที่แคบลง และสถานการณ์ทางการเงินที่ปรับตัวดีขึ้น คาดว่าจะช่วยผลักดันให้เกิดดีล M&A มากขึ้นในอนาคต
ทั้งนี้ กองทุน Private Equity ยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนที่สำคัญในภูมิภาคนี้ โดยมีสัดส่วนมูลค่าดีลที่สูงโดยเฉพาะในการลงทุนระยะหลังและสตาร์ทอัพในสิงคโปร์และทั่วภูมิภาค แม้มูลค่ารวมของดีล Private Equity จะมีความผันผวนจากจำนวนดีลขนาดใหญ่ที่ลดลง แต่ดีลในกลุ่มภาคอุตสากรรมเทคโนโลยี บริการทางการเงิน และสุขภาพยังคงแข็งแกร่ง ด้วยแนวทางการลงทุนที่มีวินัย เน้นคุณค่า และมุ่งเน้นสินทรัพย์ที่มีความพร้อม การขายเงินลงทุนแบบ Trade Sale ยังคงเป็นกลยุทธ์ที่ได้รับความนิยม เนื่องจากมีกระบวนการที่รวดเร็วและมีความแน่นอนมากกว่าการเสนอขายหุ้นต่อประชาชนทั่วไป (IPO) ในขณะที่การทำธุรกรรมซื้อขายในตลาดรอง (Secondary Transactions) กำลังมีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นทั้งนี้เพื่อตอบสนองความต้องการด้านสภาพคล่องที่เพิ่มสูงขึ้น
โดยภาพรวม การประสบความสำเร็จในการลงทุนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จำเป็นต้องอาศัยการดำเนินงานอย่างมีวินัย การจัดลำดับความสำคัญทางกลยุทธ์ที่ชัดเจน และการบริหารจัดการความท้าทายด้านวัฒนธรรมและการผสานธุรกิจอย่างเชิงรุก โดยมีกองทุน Private Equity เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการกำหนดทิศทางของดีล M&A ในภูมิภาคนี้
มูราลิดาห์ เอ็ม เอส เค ลีดเดอร์ด้านกลยุทธ์ ความเสี่ยง และธุรกรรมรายการ ดีลอยท์ เซาท์อีสต์เอเชีย กล่าวว่า "การควบรวมและซื้อกิจการเชิงเปลี่ยนผ่าน (Transformational M&A) คือ กลไกขับเคลื่อนการเติบโตทางธุรกิจ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นภูมิภาคที่การเปลี่ยนแปลงระบบห่วงโซ่อุปทาน เทคโนโลยี และความคาดหวังของลูกค้าอย่างรวดเร็ว ดีล M&A เชิงกลยุทธ์และประสานความร่วมมือสนับสนุน คือ กุญแจสำคัญที่ช่วยให้องค์กรสามารถปรับโครงสร้างพอร์ตธุรกิจและเข้าถึงตลาดที่มีศักยภาพใหม่ ๆ และด้วยการใช้เครื่องมือขับเคลื่อนการเติบโตหลายรูปแบบ องค์กรสามารถปรับเปลี่ยนแผนธุรกิจได้อย่างรวดเร็วและเหมาะสมกับความต้องการของภูมิภาค ทั้งนี้ การพลิกโฉมโมเดลธุรกิจ การปรับองค์กรให้พร้อมรับอนาคต และการสร้างคุณค่าที่ยั่งยืน ให้ผลลัพธ์มากกว่าการทำดีลแบบครั้งเดียว"
เทคโนโลยีและปัญญาประดิษฐ์ (AI) คือแกนหลักของการเปลี่ยนผ่านเชิงกลยุทธ์
รายงานของดีลอยท์ชี้ให้เห็นว่า องค์กรที่เน้นการการเติบโตเชิงเปลี่ยนผ่าน (Growth Transformers) กำลังปรับรูปแบบธุรกิจผ่านการควบรวมและการซื้อกิจการ (M&A) และความร่วมมือในระบบนิเวศ โดยใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีเป็นแรงผลักดันหลัก เกือบครึ่งหนึ่งจากผลสำรวจความคิดเห็นของซีอีโอให้ความสำคัญกับการลงทุนทางด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) และเทคโนโลยีใหม่ที่กำลังเกิดขึ้น เช่น Generative AI, หุ่นยนต์ (Robotics), ควอนตัมคอมพิวติ้ง (Quantum Computing) และแพลตฟอร์ม Machine-learning ซึ่งทั้งหมดถูกมองว่าเป็นทั้งภัยคุกคามและปัจจัยสนับสนุนในการสร้างรูปแบบโมเดลธุรกิจใหม่
จากผลสำรวจความคิดเห็นของซีอีโอเกือบร้อยละ 47 ให้ความสำคัญกับการลงทุนในปัญญาประดิษฐ์ (AI) โดยทำให้เทคโนโลยีอัจฉริยะกลายเป็นศูนย์กลางของกลยุทธ์การควบรวมและซื้อกิจการ (M&A) ในยุคใหม่ ขณะเดียวกัน จากผลสำรวจความคิดเห็นของซีอีโอมากกว่าครึ่ง (ร้อยละ 52) เชื่อว่า ปัญญาประดิษฐ์ (AI) จะเป็นแรงขับเคลื่อนสร้างการเติบโตของรายได้ โดยการลงทุนในเทคโนโลยีอัจฉริยะถูกออกแบบให้สอดคล้องกับเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ เพื่อสร้างสมดุลด้านความเสี่ยงและคว้าโอกาสในฐานะผู้ริเริ่มก่อน
องค์กรที่เน้นการการเติบโตเชิงเปลี่ยนผ่าน (Growth Transformers) ยังมองห่วงโซ่อุปทานเป็นเครื่องมือเชิงกลยุทธ์ ไม่ใช่แค่เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ แต่เพื่อสร้างการให้บริการในรูปแบบใหม่ เช่น "โลจิสติกส์ในรูปแบบบริการ" (Logistics-as-a-Service) ในขณะที่มีการใช้การวิเคราะห์แบบเรียลไทม์เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์กับพันธมิตรและผู้ขาย ห่วงโซ่อุปทานจึงค่อยๆ เปลี่ยนบทบาทจาก "ฟังก์ชันสนับสนุน" ไปสู่ "กลไกเพื่อการสร้างการเติบโตและนวัตกรรม"
ร็อบ ฮิลลาร์ด ลีดเดอร์บริการที่ปรึกษาทางการบริหารจัดการ ดีลอยท์ เอเชียแปซิฟิก กล่าวว่า "ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกที่ซึ่งตลาดมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเกินคาด กลยุทธ์ M&A เชิงเปลี่ยนผ่านจึงเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการพลิกโฉมธุรกิจ โดยการใช้เทคโนโลยีตั้งแต่ระบบอัตโนมัติไปจนถึงระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) ไม่ใช่แค่เพียงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ แต่เพื่อการปรับเปลี่ยนรูปแบบโมเดลทางธุรกิจใหม่และแหล่งสร้างมูลค่าใหม่ ทั้งนี้ ความสำเร็จต้องอาศัยแนวทางการลงทุนด้านเทคโนโลยีแบบพอร์ตโฟลิโอ เพื่อให้เกิดการทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพและความยืดหยุ่น พร้อมรับมือกับความซับซ้อนและคว้าโอกาสในภูมิภาคนี้ที่เต็มไปด้วยความท้าทายและศักยภาพ"
การเปลี่ยนผ่านด้านบุคลากรคือปัจจัยสำคัญในการสร้างความแตกต่าง
รายงานยังเน้นย้ำว่า ความพร้อมของบุคลากรมีความสำคัญไม่ต่างจากเทคโนโลยีซึ่งเป็นตัวกำหนดความสำเร็จของ M&A เชิงเปลี่ยนผ่าน องค์กรที่ลงทุนในทักษะดิจิทัล มีความสามารถในการปรับตัว และความแข็งแกร่งทางวัฒนธรรม พบว่ามีระดับนวัตกรรมสูงขึ้นถึงร้อยละ 30
ผู้นำที่มุ่งเน้นการเติบโตทางธุรกิจย่อมเข้าใจดีว่าการเปลี่ยนผ่านที่ประสบความสำเร็จต้องอาศัยบุคลากรและวัฒนธรรมองค์กรที่มีความยืดหยุ่นและปรับตัวได้ โดยทีมงานที่มีทักษะพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงในอนาคตและมีทักษะด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) และดิจิทัล คือ ปัจจัยสร้างความได้เปรียบในตลาดที่มีการแข่งขันสูง
Private Equity และการเปลี่ยนผ่านของระบบนิเวศธุรกิจ
รายงานของดีลอยท์ เผยให้เห็นว่า กองทุน Private Equity กำลังปรับกลยุทธ์ท่ามกลางภาวะตลาดที่ชะลอตัวและต้นทุนการกู้ยืมที่สูงขึ้น ด้วยเงินทุนสำรอง (Dry Powder) ประมาณ 2.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ กองทุนเหล่านี้กำลังขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านเชิงลึกในระบบนิเวศธุรกิจ โดยกำหนดเป้าหมายการลงทุนในบริษัทที่มีศักยภาพแต่ยังไม่ได้ถูกนำมาใช้ประโยชน์ เพื่อพลิกโฉมทั้งอุตสาหกรรม
รายงานยังพบว่า ผู้ซื้อกิจการที่สามารถบรรลุหรือเกินเป้าหมายด้าน Synergy จะสร้างมูลค่าเฉลี่ย 1.3 เท่าของเป้าหมายต้นทุนที่ประกาศไว้ และในบางกรณีสูงถึงสองเท่า โดยบริษัทที่มีการวิเคราะห์ และการดำเนินการอย่างจริงจังเพื่อการสร้าง Synergy จะมีผลประกอบการเหนือเป้าหมายเฉลี่ยร้อยละ 23 ซึ่งเป็นการสร้างมูลค่ามากกว่าคู่แข่งอย่างมีนัยสำคัญ
เจียก ซี อึ้ง ลีดเดอร์ด้านกลยุทธ์ ความเสี่ยง และธุรกรรมรายการ ดีลอยท์ เอเชียแปซิฟิก กล่าวเสริมถึงรายงานวิจัยว่า "ซีอีโอผู้กำหนดนิยามใหม่ให้กับตลาดในปัจจุบัน คือผู้ที่กล้าเผชิญความท้าทายในการใช้การควบรวมและการซื้อกิจการเชิงเปลี่ยนผ่าน (Transformational M&A) เป็นเครื่องมือในการพลิกโฉมธุรกิจ โดยยอมรับว่าการเปลี่ยนผ่านคือการดำเนินการที่ต่อเนื่องและไม่มีที่สิ้นสุด การผสานความเป็นผู้นำที่แข็งแกร่ง มีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน และการดำเนินงานอย่างมีวินัยและด้วยความเร็วเพื่อสนองตอบความต้องการของตลาด การสร้างพันธมิตรที่แข็งแกร่งในระบบนิเวศที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลากับทั้งกองทุน Private Equity, Hyperscaler, สตาร์ทอัพ และพันธมิตรทางธุรกิจในหลายหลายอุตสาหกรรม องค์กรที่เน้นการเติบโตเชิงเปลี่ยนผ่าน (Growth Transformers) เหล่านี้ ไม่ได้แค่สร้างมูลค่าทางธุรกิจในระยะสั้น แต่กำลังสร้างมูลค่าที่ยั่งยืนและขับเคลื่อนด้วยเป้าหมาย พร้อมพลิกโฉมอุตสาหกรรมผ่านการเปลี่ยนผ่านโมเดลธุรกิจด้วยเทคโนโลยีและวัฒนธรรมที่ผสานมนุษย์กับเทคโนโลยีอย่างลงตัว"
สามารถอ่านรายงานฉบับเต็มและเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับรายงานวิจัยได้ที่: https://www.deloitte.com/southeast-asia/en/services/consulting/perspectives/asia-pacific-the-growth-transformers-playbook.html
[1] การวิจัยที่ครอบคลุมของดีลอยท์ ซึ่งอาศัยข้อมูลด้านการควบรวมและซื้อกิจการ (M&A) ตลอดทศวรรษ ตั้งแต่ปี 2558 ถึง 2567 แสดงถึงกลยุทธ์ที่ซับซ้อน ซึ่งอยู่ภายใต้คู่มือการควบรวมและซื้อกิจการเชิงเปลี่ยนผ่าน (Transformational M&A Playbook) ได้ถูกนำมาใช้อย่างสม่ำเสมอโดย 'นักเปลี่ยนผ่านด้านการเติบโต' ที่สร้างมูลค่าอย่างมีนัยสำคัญ การศึกษานี้ครอบคลุมดีล M&A มากกว่า 2,000 ธุรกรรมในหลากหลายภูมิภาค (อเมริกาเหนือ อเมริกาใต้ ยุโรป และเอเชียแปซิฟิก) และอุตสาหกรรม (เทคโนโลยี สื่อ และโทรคมนาคม, พลังงาน ทรัพยากร และอุตสาหกรรม, บริการทางการเงิน, วิทยาศาสตร์สุขภาพและการดูแลสุขภาพ, และสินค้าอุปโภคบริโภค)
A5 หุ้นกู้กระแสตอบรับดี ยื่นไฟลิ่งรอบ 2 ดอกเบี้ย 7.50% ต่อยอดความสำเร็จ สะท้อนความเชื่อมั่นนักลงทุน
ทีเอ็มบีธนชาต ประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในอัตรา 0.066 บาทต่อหุ้น หรือคิดเป็นอัตราการจ่ายเงินปันผลในระดับสูงที่ 60% โดยยังคงเดินหน้าตามแผนบริหารส่วนทุนเพื่อเพิ่มผลตอบแทนรวมให้กับผู้ถือหุ้นอย่างยั่งยืน
TGE คว้า 100 คะแนนเต็ม AGM Checklist 3 ปีซ้อน ตอกย้ำการก้าวสู่ผู้นำธรรมาภิบาลพลังงานสะอาด
TK รักษามาตรฐานการกำกับดูแล ได้ 100 คะแนนเต็ม AGM Checklist ต่อเนื่อง 18 ปีซ้อน
TPCH คว้าคะแนน AGM Checklist "ดีเยี่ยม"
GBX คว้าระดับ "ดีเยี่ยม" จากการประเมิน AGM Checklist ปี 2568
ไทยวิวัฒน์ โฮลดิ้งส์ การันตีธรรมาภิบาล คว้ากวาด 100 คะแนนเต็ม AGM Checklist ต่อเนื่อง 2 ปีซ้อน