นักวิจัยนาโนเทค สวทช. พัฒนานวัตกรรมปุ๋ยควบคุมการปลดปล่อยธาตุอาหารหลักด้วยนาโนเทคโนโลยี ชูจุดเด่นด้วยเทคโนโลยีเคลือบ/ห่อหุ้ม ให้ธาตุอาหารค่อย ๆ ปลดปล่อยอย่างต่อเนื่อง ลดปริมาณการใช้ปุ๋ย-การสูญเสียธาตุอาหาร-ต้นทุนแรงงาน ขับเคลื่อนองค์ความรู้ของไทย ตอบโจทย์บริบทของพืชและพื้นที่แบบไทย ทดแทนปุ๋ยนำเข้าราคาสูง ด้วยความพร้อมส่งต่อเทคโนโลยีสู่ภาคเอกชน รวมถึงลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากปุ๋ยที่สูญเสียไปในระบบนิเวศ เกิดประโยชน์ทางอ้อมในการลดต้นเหตุการเกิดฝุ่น PM2.5 ชนิดทุติยภูมิ
จากความต้องการลดการสูญเสียธาตุอาหารของปุ๋ย เนื่องจากปุ๋ยทั่วไปมีสมบัติที่ละลายน้ำเร็ว พืชนำไปใช้ไม่ทัน โดยเฉพาะปุ๋ยยูเรีย ที่เกิดการสูญเสียมากถึงร้อยละ 60 จึงมีการพัฒนากรรมวิธีและสูตรสารเคลือบที่เหมาะสมภายใต้โครงการ "นวัตกรรมปุ๋ยควบคุมการปลดปล่อยธาตุอาหารหลักด้วยนาโนเทคโนโลยี เพื่อลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งมีผลต่อการเกิดฝุ่น PM2.5 ชนิดทุติยภูมิ" ในการเปลี่ยนปุ๋ยเคมีธรรมดา ๆ ที่มีสมบัติละลายน้ำที่เร็วเกินไป มาเป็นปุ๋ยเคมีที่มีสมบัติให้ค่อย ๆ ปลดปล่อยธาตุอาหารอย่างต่อเนื่อง
ดร. กนิษฐา บุญภาวาณิชกุล ทีมวิจัยเกษตรนาโนขั้นสูง กลุ่มวิจัยวัสดุผสมและกระบวนการนาโน ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า โครงการพัฒนาปุ๋ยควบคุมการปลดปล่อยเริ่มต้นมาตั้งแต่ประมาณปี 2557 โดยเทคโนโลยีหลักที่ใช้คือ nanocomposite coating กล่าวคือ ปุ๋ยเคมีโดยทั่วไปถูกเคลือบหรือห่อหุ้มด้วยชั้นฟิล์มที่ช่วยปกป้องความชื้น หรือน้ำ เพื่อไม่ให้เกิดการละลายได้เร็วเกินไป แต่ช่วยทำให้ธาตุอาหารด้านในค่อย ๆ ปลดปล่อยออกมาอย่างต่อเนื่อง สารเคลือบที่นำมาใช้กับปุ๋ยนั้น ทีมวิจัยศึกษาและนำพอลิเมอร์ฐานธรรมชาติที่มีการดัดแปร มีสมบัติในการย่อยสลายได้ตามชีวภาพ ด้วยเทคโนโลยีนี้จะช่วยลดการสูญเสียธาตุอาหารให้กับพืชได้
"ปุ๋ยที่มีสมบัติควบคุมการปลดปล่อยในไทยที่มีวางจำหน่ายอยู่เป็นการนำเข้าจากต่างประเทศทั้งหมด ดังนั้น ข้อจำกัดในการปรับสูตรธาตุอาหารสำคัญตามชนิดพืช ชนิดพื้นที่ ย่อมทำไม่ได้ อีกทั้งราคาค่อนข้างสูง เกษตรกรจับต้องได้ยากมาก การที่เรามีองค์ความรู้และเทคโนโลยีเองจึงมีความสำคัญมาก เนื่องจากสามารถปรับเปลี่ยน ออกแบบ สูตรให้เหมาะสมตามชนิดพืชและพื้นที่ได้ รวมถึงความเป็นไปได้ในการผลักดันด้านราคาให้เกษตรกรเข้าถึงการใช้นวัตกรรมได้ สำหรับนาโนเทคได้วิจัยและพัฒนาสำเร็จแล้ว โดยปัจจุบันมีระดับความพร้อมทางเทคโนโลยี (TRL) ที่ 7 ซึ่งถือว่าผ่านการทดสอบในภาคสนามแล้ว และพร้อมสำหรับการผลิตในระดับเชิงพาณิชย์" ดร. กนิษฐากล่าว พร้อมชี้ว่า การวิจัยและพัฒนานี้ใช้เวลานาน เนื่องจากเป็นโครงการด้านการเกษตรที่ต้องมีการทดสอบระดับภาคสนามกับพืชหลายชนิด เพื่อยืนยันประสิทธิภาพและประโยชน์ที่เกิดขึ้นจริง จึงได้ผลการทดสอบระดับภาคสนาม โดยเน้นกลุ่มพืชเศรษฐกิจเป็นหลัก เช่น อ้อย ข้าว ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ กล้วยไม้
ขณะเดียวกัน กลุ่มเป้าหมายที่จะได้ประโยชน์โดยตรงจากนวัตกรรมปุ๋ยควบคุมการปลดปล่อยธาตุอาหารหลักฯ นี้ ก็คือ เกษตรกร แต่การขับเคลื่อนให้นวัตกรรมนี้ไปถึงเกษตรกรต้องอาศัยภาคเอกชน ซึ่งปัจจุบัน ทางทีมวิจัยนาโนเทคมีความพยายามผลักดันสู่มือเกษตรกรผ่านภาคเอกชนที่มีความสนใจ โดยนำเสนอข้อได้เปรียบของเทคโนโลยี ไม่ว่าจะเป็นข้อดีที่ใส่ปุ๋ยครั้งแรกก็สามารถปลดปล่อยธาตุอาหารได้ต่อเนื่อง ช่วยลดต้นทุนแรงงานให้กับเกษตรกรได้ รวมถึงการช่วยทำให้เกษตรกรบริหารจัดการแปลงปลูกได้สะดวกขึ้น ลดการใช้ปริมาณปุ๋ยลงได้ ตลอดจนส่งเสริมความรู้ให้เกษตรกรตระหนักถึงประโยชน์ของเทคโนโลยีที่ไม่เป็นภาระต่อสิ่งแวดล้อม
นอกจากนี้ ดร. กนิษฐาชี้ว่า เนื่องจากประเทศไทยไม่มีผู้ผลิต หรือรับผลิตปุ๋ยควบคุมการปลดปล่อย การขยายปริมาณนวัตกรรมในระดับเชิงพาณิชย์จึงต้องใช้เวลาและเสาะแสวงหาบริษัทที่สนใจ เช่นเดียวกับภาพรวมสถานการณ์ด้านเกษตรกรรมของไทยที่มีการใช้ปุ๋ยในระดับปริมาณมาก ทำให้มีความท้าทายในการนำเสนอเทคโนโลยีใหม่ แต่ก็จะพยายามจนถึงที่สุดให้เกษตรกรได้เข้าถึงเทคโนโลยีที่เป็นประโยชน์นี้ต่อไป
"หลายคนยังไม่แน่ใจว่า ปุ๋ยจะเชื่อมโยงกับฝุ่น PM2.5 อย่างไรบ้าง แต่จริง ๆ แล้ว เกี่ยวข้องกันทางอ้อม จากที่กล่าวไปข้างต้นว่า คุณสมบัติปุ๋ยเคมีทั่วไปที่ละลายน้ำเร็วและเกิดการสูญเสียได้มากถึงร้อยละ 60 โดยเฉพาะปุ๋ยยูเรีย ที่เกิดการสูญเสียมากถึงร้อยละ 60 เมื่อธาตุอาหารเหล่านี้สูญเสียไปสู่ระบบนิเวศ ไม่ว่าจะเป็นทางน้ำก็จะเกิดเป็นปรากฏการณ์สาหร่ายบานสะพรั่ง หรือหากแพร่ไปในอากาศ ก็เกิดเป็นก๊าซเรือนกระจก เช่น ไนตรัสออกไซด์ ซึ่งมีค่าศักยภาพโลกร้อนมากกว่าคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 265 เท่า รวมถึงการเกิดปฏิกิริยาออกซิไดส์กับก๊าซตัวอื่น ๆ ที่ส่งผลต่อการเกิดฝุ่น PM2.5 ชนิดทุติยภูมิได้ ซึ่งก็มีบทความวิชาการหลาย ๆ ฉบับรายงานออกมา ประกอบกับสถานการณ์ความเปราะบางต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของประชาคมโลก โดยเฉพาะภูมิภาคเอเชีย ที่มีรายงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคการเกษตรเป็นอันดับ 1 ของโลก ก็ได้มีการตื่นตัวในการพยายามค้นหากลยุทธ์ต่าง ๆ ที่สามารถช่วยแก้ไขปัญหาดังกล่าว หนึ่งในกลยุทธ์ที่มีรายงานคือ การเลือกใช้นวัตกรรมปุ๋ยควบคุมการปลดปล่อยในด้านการเกษตรมาทดแทนการใช้ปุ๋ยเคมีทั่วไป ซึ่งก็มีรายงานผลที่ดีคือ สามารถช่วยลดปริมาณการใช้ปุ๋ยลงได้ อีกทั้งช่วยเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร ที่สำคัญช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ด้วย" นักวิจัยนาโนเทค กล่าวทิ้งท้าย
WICE คว้า ISO 14064-1:2018 ตอกย้ำผู้นำโลจิสติกส์สีเขียว มุ่งสู่ Net Zero พร้อมรับกฎหมายสภาพภูมิอากาศ
หลัง COP30 ภาคธุรกิจไทยเร่งยกระดับห่วงโซ่อาหาร สู่มาตรฐานสากลด้านความยั่งยืน
QTC รับโล่ประกาศเกียรติคุณ CALO
ม.วลัยลักษณ์ ประกาศเจตนารมณ์ "มุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน" ภายในปี 2030
เจแอนด์ที เอ็กซ์เพรส เปิดตัว EV Bike รุ่นใหม่ ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมโลจิสติกส์สู่มาตรฐาน ESG ยกระดับการขนส่งสีเขียว
"แอล ดับเบิลยู เอสฯ" แนะ ภาคอสังหาฯ ใช้วัสดุคอนกรีตก่อสร้างที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพื่อเป้าหมายสู่การเป็นหนึ่งในภาคธุรกิจที่ขับเคลื่อนประเทศสู่ Net Zero ในปี 2608
Net Zero Building: ก้าวสู่อนาคตของอาคารอย่างยั่งยืน
ฮิตาชิ เอนเนอร์ยี่ พลังขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านพลังงานของประเทศไทย สู่ Net Zero