4 โบรกเกอร์ ประสานเสียง สแกนหุ้นน้องใหม่ บมจ.เอ็มเอ็มเอ็ม แคปปิตอล "MMM" ให้กรอบราคาเป้าหมาย 10.00-10.40 บาทต่อหุ้น พร้อมชูความโดดเด่นเป็นผู้นำด้านการเป็นที่ปรึกษาด้านการขายและการตลาดเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร
บริษัท เอ็มเอ็มเอ็ม แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ MMM หนึ่งในผู้นำด้านตัวแทนการขายอสังหาริมทรัพย์ ภายใต้การให้บริการที่ปรึกษาด้านการขายและการตลาดแก่ผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาฯ และซื้อขายอสังหาฯ แบ่งออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่ 1. ที่ปรึกษางานขายโครงการแบบตัวแทนจำหน่าย แต่เพียงผู้เดียว (BU1) 2. การบริหารงานขายโครงการพร้อมรับประกันการขาย (BU2) รวมทั้งสัญญาการให้บริการบริหารงานขายแบบวางหลักประกันการซื้อ (Hybrid) ซึ่งเป็นการรวมรูปแบบ BU1 และ BU2 เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นในการบริหารงานขาย และ 3. การซื้อ-ปรับปรุง-จำหน่ายอสังหาริมทรัพย์ที่มีศักยภาพ(BU3) โดยบริษัทฯ เตรียมเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนทั่วไป (PO) จำนวนไม่เกิน 64,200,000 หุ้น หรือคิดเป็น 21.40% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้ มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) 0.50 บาท
สำหรับการเข้าระดมทุนในครั้งนี้ บริษัทฯ จะนำเงินที่ได้ไปใช้ในการขยายธุรกิจ เพื่อวางเป็นเงินประกันสัญญาในธุรกิจการให้บริการที่ปรึกษางานขายโครงการ (BU2) และสัญญาการให้บริการบริหารงานขายโครงการ (BU2) รวมทั้งสัญญาการให้บริการบริหารงานขายแบบวางหลักประกันการซื้อ (Hybrid) อีกทั้งยังใช้เพื่อการซื้ออสังหาริมทรัพย์ในธุรกิจการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ (BU3) และส่วนที่เหลือเพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการรองรับการขยายธุรกิจ เพื่อก้าวสู่การเป็นผู้นำด้านการเป็นที่ปรึกษาด้านการขายและการตลาดเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร ตามวิสัยทัศน์ที่วางไว้ ควบคู่กับการสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน และสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้น
"MMM มีโมเดลธุรกิจที่โดดเด่นแตกต่างจากธุรกิจในอุตสาหกรรมเดียวกัน ภายใต้โมเดลธุรกิจที่ขยายตัวได้รวดเร็ว สร้างผลตอบแทนสูง ด้วยความเสี่ยงที่ต่ำ โดยมุ่งเน้นการกระจายความเสี่ยง ผ่านการบริหารโครงการหลากหลายประเภทและทำเล พร้อมทีมงานที่มีความเชี่ยวชาญด้านการตลาด และเครือข่ายเอเจนต์อิสระขนาดใหญ่ที่แข็งแกร่ง ส่งผลให้สามารถขยายฐานลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้นภายใต้ Business Model ดังกล่าว จะส่งผลให้ บริษัทฯ สร้างผลการดำเนินงานได้เติบโตอย่างมีนัยสำคัญ"
สอดรับกับบทวิเคราะห์ ทั้ง 4 แห่ง ประกอบด้วย บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน), บริษัทหลักทรัพย์ บียอนด์ จำกัด (มหาชน), บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด และบริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ที่ประเมินราคาเหมาะสมของหุ้น MMM ที่ระดับ 10.00-10.40 บาท/หุ้น
บริษัทหลักทรัพย์ บียอนด์ จำกัด (มหาชน) ประเมินราคาเหมาะสมหุ้น MMM ที่ 10.40 บาท อิง P/E ที่ 13 เท่า ในปี 2569E คิดเป็น PEG ที่ 0.26 เท่า จากปัจจัย 1) การขยายพอร์ตอสังหาฯ ที่มีความต้องการสูง 2) เครือข่ายนายหน้าอิสระที่ครอบคลุมพื้นที่ยุทธศาสตร์ และ 3) มูลค่าพอร์ตอสังหาฯ ที่ขยายตัวแบบทวีคูณ พร้อมทั้งได้คาดการณ์กำไรสุทธิที่เติบโตอย่างก้าวกระโดดกว่า 57.6% CAGR ในช่วงปี 2567-2570E ซึ่งได้แรงหนุนจากการขยายตัวของสต็อกอสังหาฯ ณ สิ้นไตรมาส 2/2568 ที่มีอยู่ในมือ 808 ยูนิต และจำนวนนายหน้าอิสระที่เพี่มขึ้น
พร้อมมองความน่าสนใจผ่านกลยุทธ์ 3M ได้แก่ 1. Maximize profitability: สร้าง GPM ที่ทรงตัวสูง คาดว่าไม่ต่ำกว่าระดับ 43% ในช่วงปี 2025-2027, 2. Multiplying leverage: ขยายฐานรายได้เติบโตอย่างก้าวกระโดดคาดว่า 127.39% (y-y), 57.38% (y-y) เป็น 820.33 ล้านบาท และ 1.30 พันล้านบาท ในปี 2025E-2026E ตามลำดับ, 3. Minimize risk (การรับความเสี่ยงในระดับที่คุ้มค่า)
ดังนั้นจากกลยุทธ์ในธุรกิจตัวแทนขายอสังหาริมทรัพย์ที่โดดเด่น คาดการณ์กำไรสุทธิเติบโตเฉลี่ยต่อปี CAGR อยู่ที่ 49.4% ในช่วงปี 2025E-2027E ทำให้ในกำไรสุทธิ อยู่ที่ 142 ล้านบาท, 241 ล้านบาท และ 316 ล้านบาท ตามลำดับ ขณะที่คาด SG&A/sales มีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่องสู่ระดับ 20.6% และ 19.9% ในปี 2026-2027 จากสัดส่วนต้นทุนแปรผันที่ขยายตัวตามรายได้ในธุรกิจ BU1 และ BU2
บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ประเมินราคาเหมาะสมที่ 10 บาท อิง PE 13.3 เท่า ซึ่งเป็นค่าเฉลี่ย PE หุ้นอสังหาฯ ขนาดกลางถึงเล็กในไทย รวมถึงหุ้นลักษณะใกล้เคียงกัน ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เวียดนามและสิงคโปร์ สะท้อนถึงแนวโน้มการเติบโตรายได้ และกำไรในอนาคต ซึ่งคาดว่าจะดีกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต ส่วนสถานะการเงินคาดว่าจะมีความแข็งแกร่ง มีทุนวางเงินประกันเพื่อขยายธุรกิจเพิ่มเติม ขณะที่มีการจ่ายเงินปันผลทุกไตรมาสตั้งแต่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไลฟ์เอ็กซ์เช้นจ์ เมื่อ 18 ธ.ค.2566 และด้วยการเป็นตัวแทนขายอสังหาฯ รูปแบบใหม่มีต้นทุนต่ำ แต่ให้อัตรากำไรสูง และมี Business Model ที่สร้างผลการดำเนินงานเติบโตต่อเนื่อง
ทำให้มีคาดการณ์การเติบโตของ MMM ว่า จะมีรายได้/กำไรเติบโตเฉลี่ย 3 ปี ได้ที่ระดับ 51-52% (2568-2570) โดยจะมาจากการเติบโตของกลุ่ม BU1 และ BU2 ในขณะที่อัตรากำไรสุทธิเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 22 ต่อปี และ ROE ระดับสูงร้อยละ 21.6 ในปี 2568
" MMM เป็นธุรกิจที่ใช้เงินลงทุนน้อยมีความเสี่ยงต่ำ โดยเป็นตัวกลาง ไม่ต้องแบกรับภาระต้นทุน และความเสี่ยงจากการพัฒนาเลือกทรัพย์ที่สร้างเสร็จแล้ว พร้อมทำการตลาดได้ทันที กระจายความเสี่ยง ขยายโครงการได้หลากหลายเพิ่มทางเลือก ด้วยเงินลงทุนวางเงินประกันที่ต่ำ, ปรับกลยุทธ์ได้ตามสถานการณ์, ฐานะการเงินแข็งแกร่งมีสภาพคล่องสูง สร้างรายได้ทันที ไม่ต้องรอการพัฒนา ปลอดเงินกู้ยืม และภาระดอกเบี้ย สามารถสร้างกระแสเงินสดได้รวดเร็ว จ่ายปันผลสม่ำเสมอ, ศักยภาพการทำกำไรโดดเด่น อัตรากำไรขั้นต้นเฉลี่ยต่อปี สำหรับปี 2568E-2570E อยู่ที่ราว 46% ในขณะที่อัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 22% ต่อปี ส่วนอัตราการเติบโตของกำไรสุทธิสูง 3-year CAGR = 51% ในขณะที่ ROE และ ROA โดดเด่นกว่าอุตสาหกรรม"
บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด ประเมินราคาเหมาะสมที่ 10 บาท เทียบกับ P/E ของหุ้นในหมวดอสังหาริมทรัพย์ (PROP) ทั้งใน SET (P/E 13 เท่า) และใน mai (PRI 8.1 เท่า, BKA 9 เท่า, JAK 10.1X และ TITLE 33.2X) โดยใช้ Prospective P/E ที่ระดับ 13.5 เท่า ทั้งนี้ประเมินกำไรสุทธิต่อหุ้นในปี 2569 ราว 0.74 บาท พร้อมทั้งประเมินการเติบโตของรายได้จากการบริการในปี 2568E-2569E ราว 804 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 124% YoY และ 1,070 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 33% YoY ตามลำดับ คิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ย (CAGR) ระหว่างปี 2567-2569E เท่ากับ 44% ต่อปี โดยใช้สมมติฐานอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) ในปี 2568E ที่ระดับ 45% ส่งผลให้คาดการณ์กำไรสุทธิ ในช่วงปี 2568E-2569E ที่ราว 160 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 95% YoY และ 219 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 39% YoY ตามลำดับ หรือคิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ย (CAGR) ระหว่างปี 2567-2569E เท่ากับ 39% ต่อปี
บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ประเมินราคาเหมาะสมที่ 10 บาท โดยเปรียบเทียบกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้างจากลักษณะธุรกิจของบริษัทที่ใกล้เคียงและพึ่งพิงกับอุตสาหกรรมดังกล่าว ขณะที่ปัจจุบันยังไม่มีคู่เทียบบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ที่มีลักษณะการประกอบธุรกิจตัวแทนการขายอสังหาริมทรัพย์ใกล้เคียงกับ MMM ทั้งนี้มองว่าบริษัทควรเทรดใกล้เคียงระดับ PER กลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้างที่ปัจจุบันเทรดราว 14 เท่า เนื่องจากยังอยู่ในช่วงของการเติบโต โดยมีโอกาสขยายตัวเพิ่มขึ้นภายหลัง PO ตามกลยุทธ์การขยายเครือข่ายและ portfolio มากขึ้น โดยคาดการณ์กำไรสุทธิ ปี 2568E ที่ 150 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 86% YoY และปี 2026 ที่ 214 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 42%YoY
Net Zero Building: ก้าวสู่อนาคตของอาคารอย่างยั่งยืน
คืบหน้าต่อเนื่อง! "ลูนิค เรียลเอสเตท" แต่งตั้ง "พรพระนคร" ลุยงานก่อสร้างเฟสแรกโครงการลักชัวรี "Skypark Lucean Jomtien Pattaya"
แสนสิริ ผนึก สถาบันอาทิตย์ อุไรรัตน์ 2 ผู้นำ จากวงการอสังหาฯ และ การศึกษาไทย ยกระดับการเรียนรู้จากห้องเรียน สู่โลกแห่งการทำงานจริง
แสนสิริ คว้ารางวัลระดับ APAC จาก Meta "Best Reels for Innovation & Generative AI"
ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ เปิดประสบการณ์ใหม่แห่งการอยู่อาศัย"Flexible Function" บ้านที่ปรับพื้นที่ได้ตามใจ ภายใต้แนวคิด "Lalin Miracle Space" ที่เข้าใจทุกการใช้ชีวิต
ออริจิ้น เรสซิเดนซ์ ภูเก็ต บางเทา สร้างปรากฏการณ์! เปิดจอง Online Booking ครั้งแรก SOLD OUT ภายในเวลา 15 นาที !! กวาดยอดขายกว่า 500 ล้านบาท
FPT คว้า CGR ระดับดีเลิศ 6 ปีซ้อน พร้อมรับการจัดอันดับสูงสุดจาก GRESB การันตีมาตรฐานด้านความยั่งยืนของไทย-สากล
B-WORK เตรียมจ่ายเงินปันผล ในอัตรา 0.182386 บาทต่อหน่วย วันที่ 11 ธ.ค. 2568 นี้