ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ไอแบงก์) โดย ดร.ทวีลาภ ฤทธาภิรมย์ กรรมการและผู้จัดการธนาคาร พร้อมด้วยคณะผู้บริหารและพนักงานธนาคารเข้าร่วมงาน Working Dinner การหารือเพื่อพัฒนาชะรีอะฮ์ภิบาลในประเทศไทย ซึ่งธนาคารเป็นเจ้าภาพร่วมกับ ISRA Consulting โดยงานดังกล่าวจัดขึ้นเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและหารือเกี่ยวกับการพัฒนา ชะรีอะฮ์ภิบาล (Shariah Governance) ในประเทศไทย โดยมีผู้แทนจากหลายประเทศเข้าร่วม รวมถึงผู้บริหารระดับสูงจากธนาคารกลางมาเลเซีย คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์มาเลเซีย ผู้แทนจากมาเลเซีย อินโดนีเซีย บรูไน และสิงคโปร์ ณ โรงแรมอัลมีรอซ กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2568

ภายในงาน ดร.ทวีลาภ กล่าวต้อนรับผู้เข้าร่วมงานและนำเสนอว่า ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทยเป็นธนาคารเพียงแห่งเดียวในประเทศไทยที่ดำเนินงานตามหลักชะรีอะฮ์อย่างเต็มรูปแบบ โดยเน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นในการเป็นองค์กรหลักของประเทศในการพัฒนาและยกระดับชะรีอะฮ์ภิบาล ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของระบบการเงินอิสลามทั้งระบบ โดยได้ศึกษาแนวทางในเบื้องต้นสำหรับประเทศไทยในการสร้างหลักการที่เป็นแนวทาง (Guiding Principles) เพื่อให้หน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเงินอิสลามนำไปปรับใช้ให้สอดคล้องกับพัฒนาการของการเงินอิสลามระดับสากล
ผศ.ดร.มะรอนิง สาแลมิง ประธานที่ปรึกษาชะรีอะฮ์ ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย ได้สรุปภาพรวมของมาตรฐานชะรีอะฮ์ภิบาลของธนาคาร พร้อมรับฟังความคิดเห็นจากผู้เข้าร่วมการประชุม
Mr. Adnan Zaylani Mohamad Zahid รองผู้ว่าการธนาคารกลางมาเลเซีย (Bank Negara Malaysia) ให้ข้อคิดเห็นว่า รูปแบบของมาตรฐานชะรีอะฮ์ภิบาลมีทั้งแบบรวมศูนย์ (Centralized) และกระจายศูนย์ (Decentralized) ซึ่งแต่ละรูปแบบมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกัน โดยมาเลเซียใช้รูปแบบรวมศูนย์เพื่อรักษาความเป็นมาตรฐานและเอกภาพ ในขณะที่บางประเทศเลือกใช้วิธีกระจายศูนย์เพื่อความยืดหยุ่นและรวดเร็วในการดำเนินงาน และยังเผยว่าธนาคารกลางมาเลเซียมีแนวทางความร่วมมือกับธนาคารแห่งประเทศไทยในการพัฒนาการเงินอิสลามให้เติบโตเทียบเท่าประเทศอื่นในภูมิภาคอีกด้วย
Assoc. Prof. Dr. Mohamed Eskandar Shah Mohd Rasid ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ISRA International Consulting Sdn Bhd (ISRA Consulting) ร่วมแบ่งปันผลการวิจัยของนักศึกษาที่เปรียบเทียบการพัฒนาระบบการเงินอิสลามในประเทศที่มีประชากรมุสลิมเป็นส่วนน้อย พบว่าข้อสังเกตสำคัญที่พบร่วมกัน คือ การพยายามนำแบบอย่างจากประเทศที่ประสบความสำเร็จ เช่น มาเลเซีย มาใช้โดยไม่คำนึงถึงบริบทที่แตกต่างของแต่ละประเทศ
จากการสนทนาในเวทีนี้ ผู้เข้าร่วมได้แลกเปลี่ยนข้อมูลที่สำคัญหลายประการ อาทิ ประเทศมาเลเซีย อินโดนีเซีย และบรูไน ใช้มาตรฐานชะรีอะฮ์ภิบาลแบบ 2 ระดับ คือ มีบอร์ดชะรีอะฮ์กลางระดับประเทศและภายในแต่ละองค์กร ซึ่งมีทั้งข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกัน ส่วนในสิงคโปร์มีการใช้คำว่า "Muslim Friendly" แทน "Shariah Compliance" ซึ่งอาจแตกต่างกันในด้านสภาพแวดล้อมของแต่ละประเทศ นอกจากนี้ยังมีข้อเสนอแนะให้ธนาคารใส่ใจการพัฒนาความรู้ความสามารถในด้านทรัพยากรบุคคลควบคู่กับการยกระดับชะรีอะฮ์ภิบาล และเนื่องจากธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทยมีลูกค้าทั้งมุสลิมและต่างศาสนิกในสัดส่วนที่ใกล้เคียงกัน จึงควรประชาสัมพันธ์ให้มากขึ้น เพื่อสร้างความมั่นใจให้ลูกค้ามุสลิมว่าธนาคารดำเนินงานตามหลักชะรีอะฮ์อย่างครบถ้วน แม้จะรับเงินฝากจากลูกค้าต่างศาสนิกด้วยก็ตาม
งานในครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อพัฒนาระบบการเงินอิสลามและยกระดับมาตรฐานชะรีอะฮ์ภิบาลในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้อย่างยั่งยืนต่อไป