V-ZUG (เฟา-ซูก) แบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านระดับอัลตร้า ลักซ์ชัวรี่ชั้นนำ จากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เดินหน้ายกระดับมาตรฐานแห่งนวัตกรรม ควบคู่กับการตั้งมั่นในพันธกิจด้านความยั่งยืนและความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม V-ZUG ผสานเทคโนโลยีล้ำสมัยเข้ากับกระบวนการผลิตอย่างมีความรับผิดชอบ และคำนึงถึงเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมเป็นสำคัญ พร้อมเดินหน้าสร้างนิยามมาตรฐานระดับโลกใหม่ให้กับวิถีชีวิตยุคใหม่ที่ใส่ใจโลกครบทุกมิติ
แองเจลีน ยับ กรรมการผู้จัดการ V-ZUG ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวว่า "สำหรับ V-ZUG แล้ว ความยั่งยืนเป็นหัวใจสำคัญที่ถักทออยู่ในทุกอณูของเรา ทั้งการออกแบบ กระบวนการผลิตตามแบบฉบับสวิส ไปจนถึงแนวทางการรักษาสิ่งแวดล้อม เราลงทุนเพื่อเป้าหมายระยะยาว ดำเนินกิจการอย่างโปร่งใส และมีวิสัยทัศน์ที่มุ่งสร้างอนาคตเพื่อฟื้นฟู คืนสมดุลและสร้างผลดีต่อสิ่งแวดล้อมและสังคมในระยะยาวผ่านโครงการริเริ่มต่าง ๆ เช่น โครงการ V-Forest เพื่อการฟื้นฟูผืนป่า การจัดตั้งกองทุนก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ภายในองค์กร การออกแบบเชิงหมุนเวียน การนำวัสดุกลับมาใช้ใหม่ เป็นต้น โดย V-ZUG กำลังพิสูจน์ให้เห็นว่า ความหรูหราและความยั่งยืนไม่ใช่สิ่งตรงข้าม แต่เป็นสิ่งที่เกื้อกูลและเสริมคุณค่าซึ่งกันและกัน ดังนั้น V-ZUG จึงไม่ได้คำนึงเพียงการลดผลกระทบต่อโลก แต่ยังตระหนักถึงการสร้างคุณค่าที่ยั่งยืนเพื่อโลก ผู้คน และชนรุ่นต่อไปในอนาคต"
ตั้งแต่การออกแบบที่เปี่ยมด้วยสุนทรียะ ไปจนถึงกระบวนการผลิต ความยั่งยืนคือรากฐานสำคัญที่ฝังอยู่ในดีเอ็นเอของ V-ZUG อย่างลึกซึ้ง สำนักงานใหญ่ของ V-ZUG ณ เมืองซุก ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เป็นที่ตั้งของโรงงาน Zephyr East ที่ออกแบบในแนวตั้งเพื่อลดการใช้พื้นที่ มีการลงทุนกว่า 300 ล้านฟรังก์สวิส (ประมาณ 12,000 ล้านบาท) ในการพัฒนาโรงงานผลิตอย่างยั่งยืน โรงงานผลิตทุกแห่งของ V-ZUG ในสวิตเซอร์แลนด์ดำเนินงานด้วยพลังงานหมุนเวียน 100% ไม่ว่าจะเป็นพลังน้ำหรือพลังงานแสงอาทิตย์ พร้อมระบบจัดการวัสดุที่สามารถรีไซเคิลได้ถึง 80% เหลือเพียงเศษวัสดุเล็กน้อยที่ถูกส่งไปฝังกลบ แนวปฏิบัติที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมเหล่านี้ ได้รับการสนับสนุนโดยกองทุนคาร์บอนไดออกไซด์ภายในองค์กร ที่มีเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซอย่างเคร่งครัด ส่งผลให้ V-ZUG สามารถบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutral) ได้ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2563
V-ZUG ตั้งเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมและสภาพภูมิอากาศ อย่างชัดเจนและโปร่งใส โดยภายในปี พ.ศ. 2573 บริษัทจะลดการปล่อยคาร์บอนในกลุ่ม Scope 1 และ Scope 2 ลง 80% เมื่อเทียบกับปี พ.ศ. 2563 ตามแนวทางของ Greenhouse Gas Protocol (GHGP) ความมุ่งมั่นนี้ขับเคลื่อนผ่านการลงทุนในพลังงานสะอาด การพัฒนาอาคารที่ใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ และการเปลี่ยนยานพาหนะทั้งหมดในองค์กรเป็นระบบไฟฟ้า ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2561 เป็นต้นมา V-ZUG ได้จัดเก็บภาษีคาร์บอนภายในองค์กรที่อัตรา 120 ฟรังก์สวิส (ประมาณ 5,000 บาท) ต่อการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์หนึ่งตัน เพื่อนำไปสนับสนุนโครงการด้านสิ่งแวดล้อมที่ยังไม่สามารถขยายในเชิงพาณิชย์ได้ในขณะนี้
นอกจากนี้ V-ZUG ยังได้จัดตั้งโครงการ V-Forest ในประเทศสกอตแลนด์ เพื่อชดเชยการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ โดยมุ่งเน้นการฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพและการดูดซับคาร์บอนจากชั้นบรรยากาศ ซึ่งปัจจุบันได้ปลูกต้นไม้ไปแล้วเกือบหนึ่งล้านต้น ขณะเดียวกัน V-ZUG ยังตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในกลุ่ม Scope 3 ลง 30% ตลอดทั้งห่วงโซ่คุณค่าภายในปี พ.ศ. 2573 โดยเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศทั้งหมดของ V-ZUG ได้รับการพัฒนาบนพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ (Science-Based Targets) และส่งข้อมูลรับรองภายใต้โครงการ Science Based Targets initiative (SBTi)
V-ZUG แสดงความมุ่งมั่นต่อความรับผิดชอบและความโปร่งใส โดยมีการรายงานความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศตามกรอบ TCFD (Task Force on Climate-related Financial Disclosures) พร้อมประเมินประเด็นสาระสำคัญอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดในปี พ.ศ. 2567 บริษัทได้ดำเนินการวิเคราะห์ตามมาตรฐาน ESRS (European Sustainability Reporting Standards) ซึ่งระบุ 15 ประเด็นหลัก ได้แก่ นวัตกรรมประหยัดพลังงาน การออกแบบสินค้าแบบหมุนเวียน ความหลากหลายทางชีวภาพ การใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นต้น ที่ช่วยตอกย้ำบทบาทผู้นำด้านความยั่งยืนของ V-ZUG ทั้งในประเทศสวิตเซอร์แลนด์และตลาดใหม่อย่างประเทศไทย
ภายใต้แนวคิด Design to Circularity ที่ V-ZUG ใช้ในการออกแบบผลิตภัณฑ์ให้สามารถซ่อมแซม ใช้ซ้ำ และรีไซเคิลได้ เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม รวมทั้งยืดอายุการใช้งาน โดย V-ZUG ได้ร่วมมือกับพันธมิตรที่มีวิสัยทัศน์เดียวกันอย่าง Outokumpu ซึ่งเป็นผู้นำระดับโลกด้านเหล็กกล้าคาร์บอนต่ำ ในการนำสเตนเลส Circle Green(R) ที่มีส่วนผสมรีไซเคิลสูงถึง 95% และช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 90% เมื่อเทียบกับมาตรฐานอุตสาหกรรม มาใช้ในผลิตภัณฑ์ เช่น เครื่องล้างจาน AdoraDish เพื่อสร้างมาตรฐานใหม่ของการผลิตที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม
ความยั่งยืนของ V-ZUG ไม่ได้จำกัดเพียงแค่การใช้งานเท่านั้น แต่มาพร้อมกับความคิดสร้างสรรค์ เช่น Adora Table โต๊ะที่ผลิตจากถังซักผ้ารุ่นเก่า ซึ่งได้รับการแปลงโฉมใหม่เป็นงานดีไซน์ที่โดดเด่น สะท้อนให้เห็นว่าการออกแบบ การใช้งาน และความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม สามารถผนวกรวมกันได้อย่างกลมกลืน
เพื่อเสริมสร้างคุณค่าและความพึงพอใจแก่ลูกค้าในระยะยาว ลูกค้ารายย่อยจะได้รับการรับประกันผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้า V-ZUG เป็นระยะเวลา 5 ปี โดยมีอะไหล่สำรองเก็บไว้ให้ถึง 15 ปีหลังสินค้าได้ยุติการผลิตและการจำหน่าย โดยได้รับการสนับสนุนจากทีมช่างผู้เชี่ยวชาญภายในองค์กร เน้นย้ำเรื่องการสร้างความทนทาน และส่งเสริมการซ่อมแซมแทนการเปลี่ยนใหม่
"ในขณะที่ความยั่งยืนกลายเป็นส่วนสำคัญในชีวิตประจำวันของคนไทย V-ZUG ได้กำหนดนิยามใหม่ของความหรูหรา ซึ่งผสานกันอย่างลงตัวระหว่างการออกแบบที่ประณีต นวัตกรรมล้ำสมัย และความยั่งยืนในทุกมิติ เรามุ่งมั่นที่จะส่งมอบไลฟ์สไตล์ที่เปี่ยมไปด้วยคุณค่ามาสู่ตลาดประเทศไทยอย่างจริงจัง" แองเจลีนกล่าวทิ้งท้าย
ด้วยรากฐานแห่งความแม่นยำแบบสวิสและความเป็นผู้นำด้านความรับผิดชอบต่อสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม V-ZUG ได้แสดงให้เห็นว่านวัตกรรมและความยั่งยืนสามารถหลอมรวมกันเป็นหนึ่งเดียว เพื่อยกระดับความหรูหราที่มาพร้อมกับความรับผิดชอบควบคู่การสร้างสรรค์เพื่อความคงทนในระยะยาว
V-ZUG ร่วมงาน Milan Design Week 2025 เสนอผลงาน "Banquet Echoes" ผสมผสานนวัตกรรม ศิลปะอาหาร และความยั่งยืน
โรงแรม อินเตอร์คอนติเนนตัล กรุงเทพฯ หนึ่งเดียวของประเทศไทย พร้อมมอบประสบการณ์เหนือระดับ กับผลิตภัณฑ์อาบน้ำจากแบรนด์ โชพาร์ด
นิสิตปริญญาเอก CU TIP พัฒนา "หนังสังเคราะห์จากกากกาแฟ" คว้าเหรียญเงินนวัตกรรมนานาชาติเจนีวา ลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
เนสเพรสโซยกระดับประสบการณ์กาแฟในทุกวัน ควบคู่แนวคิดความยั่งยืน 'My Cup of Purpose'
ซีพี-เมจิ ตอกย้ำความสำเร็จ แบรนด์สร้างคน คนสร้างชื่อ พาบาริสต้าไทยคว้ารางวัลลาเต้อาร์ตโลก 2 ปีซ้อน
ผลิตภัณฑ์ ไลอ้อน ประเทศไทย คว้ารางวัลระดับนานาชาติ จากเวที International Exhibition of Inventions Geneva ย้ำความมุ่งมั่นพัฒนานวัตกรรมอย่างยั่งยืน
คลายร้อนรับซัมเมอร์ ด้วยข้อเสนอสุดพิเศษจาก ลองจิวิตี้ ฮับ บาย คลินิก ลา แพรรี กรุงเทพฯ กับโปรแกรม "Age Reversal"