'ไทย' ไม่ต้อง 0% ตาม 'เวียดนาม' แนะเพิ่มปริมาณสั่งซื้อสินค้าสหรัฐฯ แทน นักวิชาการ มธ. ชี้ภาษี 25-28% ยังสู้ได้

ข่าวประชาสัมพันธ์ »

นักวิชาการธรรมศาสตร์ แนะจัดทำข้อเสนอเจรจาภาษีทรัมป์ "ไทย" ไม่ต้องลดภาษีนำเข้า 0% แบบเวียดนาม แต่ให้เพิ่มปริมาณสินค้าที่จะสั่งซื้อจากสหรัฐฯ แทน เชื่อหากต่อรองภาษีสหรัฐฯ เหลือ 25% - 28% ยังพอแข่งขันได้ ระบุไม่ว่าผลเจรจาจะบวกหรือลบ รัฐบาลต้องเร่งหามาตรการเยียวยาผู้รับผลกระทบ วางแผนหาตลาดใหม่ทดแทน และปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจประเทศ

'ไทย' ไม่ต้อง 0% ตาม 'เวียดนาม' แนะเพิ่มปริมาณสั่งซื้อสินค้าสหรัฐฯ แทน นักวิชาการ มธ. ชี้ภาษี 25-28% ยังสู้ได้

รศ. ดร.จุฑาทิพย์ จงวนิชย์ อาจารย์ประจำศูนย์วิจัยความสามารถในการแข่งขันและการพัฒนา (ICDS) คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) เปิดเผยว่า การที่สหรัฐอเมริกาประกาศแจ้งอัตราภาษีนำเข้าที่จะเรียกเก็บจากไทยซึ่งอยู่ที่ 36% สูงเป็นอันดับ 2 ของอาเซียน มากกว่าเวียดนาม และมาเลเซีย นั้น มีความเป็นไปได้ว่าสหรัฐฯ ยังไม่ได้รับข้อเสนอเพิ่มเติมที่ไทยเพิ่งส่งไปเมื่อวันที่ 6 ก.ค. 2568 ที่ผ่านมา ส่วนตัวเชื่อว่าหากสหรัฐฯ เห็นข้อเสนอดังกล่าว อาจพิจารณาปรับลดภาษีนำเข้าลงมา เพราะข้อเสนอเหล่านั้นให้สิทธิประโยชน์แก่สหรัฐฯ มากกว่าครั้งแรกค่อนข้างมาก เช่น การเสนอเก็บภาษี 0% ในสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ กว่าพันรายการรวมถึงสินค้าเกษตร และมีการให้กรอบเวลาลดการเกินดุลการค้าที่ชัดเจน 'ไทย' ไม่ต้อง 0% ตาม 'เวียดนาม' แนะเพิ่มปริมาณสั่งซื้อสินค้าสหรัฐฯ แทน นักวิชาการ มธ. ชี้ภาษี 25-28% ยังสู้ได้

อย่างไรก็ตาม จากการวิเคราะห์และประเมินข้อมูลการค้าและการลงทุนเชิงลึก และสภาวะความไม่แน่นอนของนโยบายและเศรษฐกิจของสหรัฐฯแล้ว ส่วนตัวคิดว่าอัตราภาษีที่จะทำให้ไทยยังคงรักษาระดับการแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนาม และมาเลเซียได้ จะอยู่ที่ 25-28% ซึ่งถือเป็นจุดที่เหมาะสมและยอมรับได้

รศ. ดร.จุฑาทิพย์ กล่าวว่า จนกว่าจะถึงวันที่ 1 ส.ค. 2568 ซึ่งเป็นวันที่การประกาศขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ มีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการ ยังพอมีระยะเวลาในการเจรจาต่อรอง โดยหากสหรัฐฯ ได้พิจารณาข้อเสนอที่ส่งไปเพิ่มเติมแล้ว แต่ยังคงอัตราภาษีนำเข้าไว้ตามเดิม หรือลดลงแต่ยังมากกว่า 25% - 28% ส่วนตัวเห็นว่า ไทยคงต้องยื่นข้อเสนอเพิ่มมากขึ้น ทว่าไม่ควรใช้วิธีการปรับลดกำแพงภาษีนำเข้าของไทยให้สหรัฐฯ เหลือเพียง 0% ทุกรายการสินค้า แบบที่เวียดนามทำ

ทั้งนี้ หากเปรียบเทียบการลดภาษีเหลือ 0% ทุกรายการระหว่างไทยกับเวียดนาม จะพบว่าเวียดนามจะได้รับผกระทบน้อยกว่าไทย เนื่องจากเวียดนามมีประสบการณ์เปิดการค้าเสรีให้สหภาพยุโรป (EU) และประเทศอื่นๆ มาแล้ว โดยเฉพาะในส่วนของสินค้าเกษตร ขณะที่ไทยยังมีการใช้นโยบายภาษีและมิใช่ภาษีค่อนข้างเข้มข้น จึงเกรงว่าอาจจะส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการและเกษตรกรไทยที่จะปรับตัวไม่ทัน จึงเสนอว่าไทยควรใช้วิธีการเสนอเพิ่มจำนวนปริมาณสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ เป็นการทดแทนให้มากขึ้น เช่น การเพิ่มปริมาณนำเข้าอาวุธยุทโธปกรณ์ ก๊าซธรรมชาติ หรือการจัดซื้อเครื่องบิน เป็นต้น

นอกจากนี้ ไม่ว่าผลการพิจารณาปรับลดภาษีของสหรัฐฯ จะเป็นไปอย่างที่ต้องการหรือไม่ รัฐบาลไทยก็ควรจะต้องเริ่มต้นวางมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาให้ชัดเจน โดยเฉพาะการจัดสรรงบประมาณ เพื่อเยียวยาคนไทยผู้ได้รับผลกระทบจากการลดภาษีให้กับสหรัฐฯ เช่นผู้ประกอบการธุรกิจ หรือเกษตรกร และรัฐบาลจะต้องเร่งหาตลาดส่งออกให้มีความหลากหลาย (diversity) มากขึ้น ไม่พึ่งพาสหรัฐฯ มากจนเกินไปแบบที่ผ่านมา เพื่อป้องกันความไม่แน่นอนทางนโยบายซึ่งอาจจะเกิดการกลับไปกลับมาได้อีกเสมอ

"ตลาดอาเซียน แม้จะมีสินค้าคล้ายกันหลายอย่าง ทว่าแต่ละที่ก็มีความ Specialize เป็นของตัวเอง ที่ทำให้สามารถแลกเปลี่ยนสินค้าระหว่างกันได้ หรือจะเป็นประเทศญี่ปุ่นที่ควรจะเพิ่มอัตราการส่งออกไปมากขึ้นหลังจากที่ลดน้อยลงไปมากก่อนหน้านี้ สำคัญที่สุดคือการเร่งทำข้อตกลงการค้าเสรี หรือ FTA ร่วมกับ EU ซึ่งจะทำให้ไทยสามารถส่งออกสินค้าไปได้มากขึ้น ประการสุดท้ายคือควรใช้โอกาสนี้ในการปฏิรูปประเทศ ทั้งเรื่องโครงสร้างการผลิตและการส่งออก โครงสร้างภาษีและไม่ใช่ภาษีอย่างจริงจัง รวมไปถึงการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตสินค้าของผู้ประกอบการไทย" รศ. ดร.จุฑาทิพย์ กล่าว

ด้าน รศ. ดร.อาชนัน เกาะไพบูลย์ อาจารย์ประจำศูนย์วิจัยความสามารถในการแข่งขันและการพัฒนา (ICDS) คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า นอกจากเหนือผลการเจรจาและมาตรการเยียวยาที่รัฐบาลต้องดำเนินการในทันทีแล้ว สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือไทยควรใช้จังหวะนี้กลับมาทบทวนและแก้ปมปัญหาภายในประเทศเพื่อยกระดับประสิทธิภาพเศรษฐกิจ โดยเฉพาะมิติการลงทุนจากต่างชาติในไทย เช่น ปัญหาการตกเป็นเหยื่อนอมินีของชาวต่างชาติ เช่น การให้คนไทยถือหุ้นแทนคนต่างด้าว หรือสนับสนุนการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว ซึ่งสิ่งเหล่านี้เข้าข่ายเป็นนอมินี และมีความผิดตามกฎหมาย พ.ร.บ. การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542

รศ. ดร.อาชนัน กล่าวว่า ส่วนตัวมองว่าปัญหาอาจไม่ใช่แค่เรื่องของนอมินี แต่ต้องหันกลับมาดูว่าการประกอบธุรกิจโดยนักลงทุนต่างชาตินั้น ประเทศไทยได้รับผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจมากน้อยเพียงใด เกิดการจ้างงาน หรือการลงทุนเพิ่มขึ้นหรือไม่ ฯลฯ ตัวอย่างเช่นการเข้ามาของผู้ประกอบการจีนในช่วงที่ผ่านมา สิ่งที่ต้องพิจารณาคือลักษณะการลงทุนของผู้ประกอบการจีนบางส่วนในไทยสร้างผลประโยชน์ให้คนไทยมากน้อยเพียงใด เขากำลังใช้ต้นทุนและความได้เปรียบของตนเองจนก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมกับผู้ประกอบการไทยหรือไม่

รศ. ดร.อาชนัน กล่าวต่อไปด้วยว่า หากพิจารณาเฉพาะในส่วนของปัญหานอมินี ก็ต้องดูว่าปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นเพราะความซับซ้อนหรือความไม่ทันสมัยของกฎหมายหรือไม่ เช่น หากต่างชาติอยากจะเข้ามาดำเนินการให้มีความถูกต้อง มันเป็นเรื่องยากและซับซ้อนหรือไม่ หรือมีปัจจัยที่เอื้อให้นักลงทุนรู้สึกอยากทำตามกระบวนการที่ถูกต้องหรือไม่ นอกจากนี้ท่ามกลางปัญหาสังคมสูงวัยในไทยทรี่ประเทศขาดแคลนคนวัยแรงงาน การห้ามต่างด้าวประกอบกิจการเด็ดขาดตามบัญชี 1 ใน พ.ร.บ. การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 หรืออนุญาตแบบมีเงื่อนไข ตามบัญชี 2 และอนุญาตโดยไม่มีเงื่อนไข แต่ต้องมีผู้ถือหุ้นคนไทยมากกว่าต่างด้าว ตามบัญชี 3 กฎหมายดังกล่าวควรจะต้องมีการกลับมาทบทวนและปรับปรุงกันใหม่หรือไม่ หรืออาจจะต้องปลดล็อคในบางธุรกิจให้ต่างชาติทำได้มากขึ้น แต่ต้องควบคุม ตรวจสอบ โดยบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด ให้ธุรกิจเหล่านั้นเกิดการลงทุน หรือจ้างงานคนไทย ซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจในภาพรวม และแก้ปัญหานอมินีได้ในระยะยาว


ข่าวมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์+มหาวิทยาลัยธรรมศาสวันนี้

"ธรรมศาสตร์" เปิดหลักสูตร TU ESG NEXT หวังสร้างผู้นำองค์กรเพื่อความยั่งยืน ตอบโจทย์เทรนด์อนาคตที่ท้าทายด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล

มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เปิดอบรมหลักสูตร ผู้นำเพื่อความยั่งยืน : TU ESG NEXT FOR SUSTAINABILITY LEADERSHIP ภายใต้แนวคิดสร้างผู้นำองค์กรในทุกภาคส่วนเพื่อปรับตัวและมีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล ในการขับเคลื่อนองค์กรให้สามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน โดยไม่ละเลยความรับผิดชอบต่อสังคม สิ่งแวดล้อม และบรรษัทภิบาล ตลอดจนสามารถสร้างความเชื่อมั่นจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในระยะยาว ศ.ดร.ศุภสวัสดิ์ ชัชวาลย์ อธิการบดี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ประธานที่ปรึกษาหลักสูตร TU ESG NEXT FOR SUSTAINABILITY LEADERSHIP กล่าวว่า จาก

บริษัท สยามกลการ จำกัด ภายใต้กลุ่มสยามกลก... สยามกลการ ผนึก ม.ธรรมศาสตร์ พัฒนาคน-วิจัย-นวัตกรรม ขับเคลื่อนอุตสาหกรรม EEC — บริษัท สยามกลการ จำกัด ภายใต้กลุ่มสยามกลการ และ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ประกาศ...

เทียบชั้นเวทีโลก เดินหน้า Outstanding Stu... SIIT อัปเลเวลสู่ฮับแห่ง "Global Engineer" ชูกลยุทธ์ 5G ปั้นวิศวกรระดับเอ็กซเปิร์ต — เทียบชั้นเวทีโลก เดินหน้า Outstanding Student Program แจกทุนการศึกษาตล...

สถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร มหาวิทยาลั... SIIT ม.ธรรมศาสตร์ เปิดรับสมัครสอบ โครงการสอบชิงทุน "Outstanding Student Program (OSP 2026)" กว่า 100 ทุน — สถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร มหาวิทยาลัยธรรมศ...