ฟิทช์จัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ด้อยสิทธิชนิดไม่มีกำหนดชำระคืนสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่มีลักษณะคล้ายทุน ซึ่งเสนอออกโดยบริษัท จีซี ศูนย์บริหารเงิน จำกัด ที่ 'BB'

ข่าวประชาสัมพันธ์ »

ฟิทช์ เรทติ้งส์ ประกาศอันดับเครดิตที่ 'BB' ให้แก่หุ้นกู้ด้อยสิทธิชนิดไม่มีกำหนดชำระคืนสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่มีลักษณะคล้ายทุน ซึ่งเสนอออกโดยบริษัท จีซี ศูนย์บริหารเงิน จำกัด โดยหุ้นกู้ดังกล่าวได้รับการค้ำประกันจาก บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC (อันดับเครดิตสากลระยะยาวที่ BBB- และอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวที่ 'AA-(tha)' แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ) ในลักษณะด้อยสิทธิ และจะชำระเมื่อมีการเลิกกิจการ โดยผู้ออกมีสิทธิไถ่ถอนหุ้นกู้ก่อนกำหนดและมีสิทธิเลื่อนชำระดอกเบี้ยได้โดยไม่มีเงื่อนไข

การจัดอันดับเครดิตของหุ้นกู้ด้อยสิทธิดังกล่าว ให้อยู่ต่ำกว่าอันดับเครดิตสากลระยะยาว (Long-Term Issuer Default Rating) ของ PTTGC ซึ่งอยู่ที่ 'BBB-' อยู่ 2 อันดับ ตามหลักเกณฑ์การจัดอันดับเครดิตของฟิทช์เรื่อง "Corporate Hybrids Treatment and Notching Criteria" เพื่อสะท้อนถึงสถานะด้อยสิทธิซึ่งมีแนวโน้มที่จะต้องรองรับผลขาดทุนที่สูงกว่าปกติ เมื่อเทียบกับหนี้อื่นๆ ของบริษัท

ปัจจัยที่มีผลต่ออันดับเครดิต

ส่วนของหนี้ที่คิดเป็นทุน: ฟิทช์พิจารณาให้หุ้นกู้ด้อยสิทธิดังกล่าวมีส่วนของหนี้ที่คิดเป็นทุน (Equity Credit) ร้อยละ 50 ตามหลักเกณฑ์การจัดอันดับเครดิตของฟิทช์เรื่อง "Corporate Hybrids Treatment and Notching Criteria" โดยลักษณะที่คล้ายทุนของหุ้นกู้ด้อยสิทธิดังกล่าวประกอบด้วย สถานะด้อยสิทธิ การมีระยะเวลาไถ่ถอนที่น่าจะเป็น (Effective Maturity) คงเหลือมากกว่า 5 ปี สิทธิของผู้ออกหุ้นกู้ในการเลื่อนการชำระดอกเบี้ย และการกำหนดเหตุผิดนัดที่จำกัด ส่วนของหนี้ที่คิดเป็นทุนถูกจำกัดที่ร้อยละ 50 เนื่องจากดอกเบี้ยที่มีการเลื่อนการชำระจะต้องมีการสะสมเอาไว้ชำระภายหน้า

กำหนดระยะเวลาไถ่ถอนที่น่าจะเป็น: ฟิทช์พิจารณาว่าหุ้นกู้ด้อยสิทธิดังกล่าวไม่มีกำหนดระยะเวลาไถ่ถอนที่น่าจะเป็น (Effective Maturity) เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยของหุ้นกู้ด้อยสิทธิดังกล่าวจะมีการปรับเพิ่มขึ้นไม่เกินร้อยละ 1 ซึ่งเป็นตามหลักเกณฑ์ของฟิทช์ อัตราดอกเบี้ยของหุ้นกู้ด้อยสิทธิดังกล่าวจะปรับเพิ่มขึ้นสะสมไม่เกินร้อยละ 0.25 ตามในระยะเวลาที่กำหนดครั้งที่หนึ่ง และไม่เกินร้อยละ 1 ตามในระยะเวลาที่กำหนดครั้งที่สอง

อัตราส่วนหนี้สินอยู่ในระดับสูง: อัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA Net Leverage) ของ PTTGC ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 7.6 เท่า ณ สิ้นปี 2567 จาก 6.9 เท่า ในปี 2566 เนื่องจากกำไรที่ต่ำกว่าที่ฟิทช์เคยคาดการณ์ไว้ ฟิทช์คาดว่า EBITDA Net Leverage จะปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 4-6 เท่า ในปี 2568 - 2569 จากกำไรที่ฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป และค่าใช้จ่ายด้านการลงทุนที่ลดลง อย่างไรก็ตามการออกหุ้นกู้ด้อยสิทธิดังกล่าว น่าจะช่วยให้อัตราส่วนหนี้สินของ PTTGC ปรับตัวดีขึ้นประมาณ 0.5 เท่า

กำไรที่ฟื้นตัวล่าช้า: ฟิทช์คาดว่ากำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ของ PTTGC น่าจะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ประมาณ 3.5-3.9 หมื่นล้านบาท ต่อปี ในปี 2569 (ปี 2567 อยู่ที่ 2.7 หมื่นล้านบาท) และปรับตัวเพิ่มขึ้นไปสู่ระดับประมาณ 5 หมื่นล้านบาท ในปี 2571-2572 อย่างไรก็ตาม อุปสงค์ที่อ่อนแอกว่าที่คาด อาจทำให้การฟื้นตัวของกำไรล่าช้าออกไป

ส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบของผลิตภัณฑ์เคมีที่ต่ำ: ฟิทช์คาดว่า อุตสาหกรรมปิโตรเคมีจะฟื้นตัวในระดับปานกลางในปี 2568 จากระดับต่ำของปี 2567 โดยได้แรงหนุนจากต้นทุนวัตถุดิบและราคาน้ำมันดิบที่ลดลง อย่างไรก็ดี ส่วนต่างราคายังคงถูกกดดันจากความไม่แน่นอนของอุปสงค์จากจีน การเติบโตของเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว และภาวะกำลังการผลิตส่วนเกินความต้องการ การบริโภคในภูมิภาคเอเชียยังคงตึงตัว ฟิทช์คาดการณ์ว่าการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศจีนน่าจะยังคงอยู่ในระดับต่ำกว่าในช่วงก่อนการเกิดสถานการณ์การระบาดของเชื้อไวรัสโควิด อย่างน้อยจนถึงปี 2569 สงครามทางการค้าที่รุนแรงขึ้น น่าจะส่งผลกดดันต่ออุปสงค์ที่ยังคงอ่อนแอ ฟิทช์คาดว่ากำลังผลิตใหม่ที่เข้าสู่ตลาดจะยังคงอยู่ในระดับสูงในปี 2569 แม้ว่าความเสี่ยงดังกล่าวจะถูกลดทอนบางส่วนจากการหยุดเดินเครื่องของกำลังการผลิตในอุตสาหกรรม

เป้าหมายในการลดหนี้สินของบริษัทฯ: กำไรที่ฟื้นตัวล่าช้า จะส่งผลต่ออัตราส่วนของหนี้สินของบริษัทฯ อย่างไรก็ตาม ฟิทช์เชื่อว่า PTTGC กำลังจัดทำแผนกลยุทธ์ทางเลือกในการลดหนี้สิน นอกเหนือการออกหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุน รวมถึงการลดค่าใช้จ่ายด้านการลงทุน การลดรายจ่ายจากการดำเนินงาน การขายสินทรัพย์ที่ไม่ใช่ธุรกิจหลัก ซึ่งอาจเพิ่มความยืดหยุ่นในการลดหนี้สิน หากการฟื้นตัวของกำไรล่าช้ากว่าที่ฟิทช์คาด

แรงจูงใจในการให้การสนับสนุนจาก ปตท. ในระดับปานกลาง: การปรับเพิ่มอันดับเครดิตขึ้นสองอันดับจากสถานะเครดิตโดยลำพังของบริษัทฯ สะท้อนถึงแรงจูงใจของบริษัทแม่ซึ่งได้แก่ ปตท. ในการให้การสนับสนุน จากความสำคัญทางกลยุทธ์ (Strategic incentive) และความสำคัญทางด้านการดำเนินงาน (Operational incentive) แก่ PTTGC ในระดับปานกลาง ตามหลักเกณฑ์การจัดอันดับเครดิตของฟิทช์ในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างบริษัทแม่กับบริษัทลูก (Parent and Subsidiary Rating Linkage Methodology) ฟิทช์เชื่อว่าธุรกิจปิโตรเคมีและโรงกลั่น ซึ่ง PTTGC เป็นหนึ่งในบริษัทหลักของธุรกิจนี้ มีความสำคัญด้านกลยุทธ์ต่อ ปตท. นอกจากนี้ PTTGC ยังเป็นผู้รับซื้อวัตถุดิบที่เป็นผลิตภัณฑ์ก๊าซธรรมชาติที่ใช้ในการผลิตผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีรายใหญ่ของ ปตท.

การขยายเทอมการชำระเงินช่วยเสริมความคล่องตัวทางการเงิน: ฟิทช์มองว่าการขยายเทอมการชำระเงินในการซื้อวัตถุดิบจาก ปตท. นั้น จะช่วยเสริมสภาพคล่องและเพิ่มความคล่องตัวทางการเงินให้กับ PTTGC ในการบริหารจัดการอัตราส่วนหนี้สิน ปตท. ได้ขยายเทอมการชำระเงินเพิ่มเติมในเดือนพฤษภาคม 2568 ซึ่งน่าจะช่วยลดความต้องการใช้เงินทุนหมุนเวียน จำนวนประมาณ 4 หมื่นล้านบาท ในปี 2568

การกำหนดอันดับเครดิตโดยสรุป

PTTGC มีสถานะทางธุรกิจที่อ่อนแอกว่า Alpek, S.A.B. de C.V (อันดับเครดิตที่ 'BBB-'/แนวโน้มเครดิตเป็นลบ) เล็กน้อย โดย Alpek เป็นผู้นำในธุรกิจ PTA, PET rPET และ Expandable Polystyrene ในทวีปอเมริกา ในขณะที่ PTTGC เป็นบริษัทปิโตรเคมีชั้นนำในภูมิภาคอาเซียน ประมาณร้อยละ 92 ของรายได้ของ Alpek มาจากผลิตภัณฑ์อุปโภคบริโภค ที่มีความผันผวนต่ำ ในขณะที่การเข้าซื้อกิจการของ Allnex ได้ทำให้กำไรของ PTTGC มีเสถียรภาพมากขึ้น และทำให้อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้ (EBITDA Margin) ปรับตัวดีขึ้น อันดับเครดิตของ Alpek อยู่ในระดับสูงกว่าอันดับเครดิตโดยลำพังของ PTTGC ที่ 'bb' อยู่ 2 อันดับ เนื่องจากอัตราส่วนหนี้สินของ Alpek อยู่ในระดับต่ำกว่าของ PTTGC

สถานะทางธุรกิจของ PTTGC มีลักษณะคล้ายคลึงกับของ Braskem S.A. (อันดับเครดิตที่ BB-/อันดับเครดิตพินิจ) Braskem มีขนาดธุรกิจที่ใหญ่กว่า PTTGC แต่มีการเปิดเผยความเสี่ยงสูงในกลุ่มโครงสร้างพื้นฐานและการก่อสร้าง ซึ่งทำให้กำไรของ Braskem มีความผันผวนมากกว่า Braskem มีสถานะทางการเงินที่อ่อนแอกว่า PTTGC เนื่องจากอัตราส่วนหนี้สินที่มีแนวโน้มสูงขึ้น ดังนั้น Braskem จึงมีอันดับเครดิตต่ำกว่าอันดับเครดิตโดยลำพังของ PTTGC หนึ่งอันดับ

สถานะทางธุรกิจของ Synthos Spolka Akcyjna (อันดับเครดิตที่ BB /แนวโน้มเครดิตเป็นลบ) อ่อนแอกว่า PTTGC จากขนาดของธุรกิจที่เล็กกว่า การกระจายตัวของรายได้ที่น้อยกว่า และสถานะการเป็นผู้นำของผลิตภัณฑ์ที่อ่อนแอกว่า แม้ว่าธุรกิจ Synthetic Rubber จะแข็งแกร่งขึ้นหลังจากการเข้าซื้อทรัพย์สินจาก Trinseo Synthos มีอัตราส่วนหนี้สินที่ดีกว่า PTTGC เล็กน้อย ซึ่งไม่เพียงพอที่จะชดเชยสถานะทางธุรกิจที่อ่อนแอกว่า ทำให้ Synthos มีอันดับเครดิตเท่ากับอันดับเครดิตโดยลำพังของ PTTGC

สถานะทางธุรกิจของ PTTGC แข็งแกร่งที่สุดเมื่อเทียบกับบริษัทในธุรกิจการกลั่นน้ำมันและปิโตรเคมีในประเทศไทยที่ฟิทช์จัดอันดับเครดิต และมีอัตราส่วนหนี้สินที่ต่ำเมื่อเทียบกับคู่แข่งดังกล่าว PTTGC มีขนาดธุรกิจที่ใหญ่กว่าและมีการผลิตปิโตรเคมีที่มากกว่าเมื่อเทียบกับ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP (อันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวที่ A+(tha); แนวโน้มอันดับเครดิตเป็นลบ) นอกจากนี้ PTTGC ยังมีอัตราส่วนกำไรที่สูงกว่า TOP

สมมุติฐานที่สำคัญ:

  • ราคาน้ำมันดิบ (เบรนท์) ที่ราคา 70 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในปี 2568 และ 65 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในปี 2569 โดยมีการปรับด้วยส่วนต่างราคาน้ำมันตามการซื้อน้ำมันดิบของ PTTGC;
  • กำไรของธุรกิจปิโตรเคมียังคงอยู่ในระดับต่ำในปี 2568 เนื่องจากกำลังการผลิตใหม่ที่เข้ามาและอุปสงค์ที่ยังคงอ่อนแออยู่ จะกดดันส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีกับวัตถุดิบ
  • ค่าการกลั่นที่ไม่รวมกำไร/ขาดทุนจากสต็อกน้ำมัน ปรับตัวดีขึ้นในปี 2568 เป็นต้นไป
  • การขยายเทอมการชำระเงินเพื่อซื้อน้ำมันดิบกับ ปตท. ต่อเนื่องจนถึงปี 2568-2569
  • ค่าใช้จ่ายเพื่อการลงทุนรวมจำนวน 6.2 หมื่นล้านบาท ในปี 2568-2570
  • จ่ายเงินปันผลร้อยละ 50 ของกำไรสุทธิของงบการเงินรวม
  • รวมงบการเงินของบริษัทลูก บริษัท เอ็ชเอ็มซี โปลีเมอส์ จำกัด (อันดับเครดิตภายในประเทศที่ 'BBB(tha)' แนวโน้มเครดิตเป็นลบ) ตามสัดส่วนการถือหุ้นของ PTTGC

ปัจจัยที่อาจมีผลต่ออันดับเครดิตในอนาคต

ปัจจัยลบ:

  • บริษัทฯ ไม่สามารถปรับลดอัตราส่วน EBITDA Net Leverage ตามที่ฟิทช์คาดการณ์ ให้ไปอยู่ในระดับต่ำกว่า 4 เท่าอย่างต่อเนื่อง
  • แรงจูงใจในการให้การสนับสนุนจาก ปตท. ที่ลดลง

ปัจจัยบวก:

  • EBITDA Net Leverage ปรับตัวดีขึ้นไปอยู่ในระดับต่ำกว่า 3 เท่าอย่างต่อเนื่อง
  • แรงจูงใจในการให้การสนับสนุนจาก ปตท. ที่เพิ่มขึ้น

สภาพคล่อง

สภาพคล่องที่แข็งแกร่ง: PTTGC มีหนี้ทั้งหมด จำนวน 2.3 แสนล้านบาท ณ สิ้นเดือนมิถุนายน ปี 2568 โดยหนี้จำนวน 1.1 หมื่นล้านบาท จะครบกำหนดชำระในอีก 12 เดือนข้างหน้า สภาพคล่องของ PTTGC ได้รับการสนับสนุนจากเงินสดจำนวน 2.8 หมื่นล้านบาท และ กระแสเงินสดจากการขยายเทอมการชำระเงินเพื่อซื้อน้ำมันดิบกับ ปตท. นอกจากนี้ PTTGC มีความสามารถในการเข้าถึงแหล่งตลาดเงินกู้ จากความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับ ปตท. และสถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่งจากการเป็นผู้นำในธุรกิจปิโตรเคมีในประเทศไทย


ข่าวบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล+พีทีที โกลบอล เคมิคอลวันนี้

กลุ่ม ปตท. รวมพลังขับเคลื่อน CG สู่อนาคตที่ยั่งยืน ในงาน PTT Group CG Day 2025

ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) พร้อมด้วยผู้บริหารบริษัทในกลุ่ม ปตท. ประกอบด้วย บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) (PTTEP) บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) (TOP) บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) (IRPC) บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) (GC) บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) (GPSC) และ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) (OR) ผสานพลังขับเคลื่อนธุรกิจด้วยหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดี

กลุ่ม ปตท. ผนึกพันธมิตรนำเข้าอีเทน เสริมศักยภาพธุรกิจปิโตรเคมี สร้างความมั่นคงอย่างยั่งยืน

บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) ลงนามข้อตกลงจ้างเรือขนส่งอีเทนขนาดใหญ่ (Very Large Ethane Carriers : VLECs) กับ MISC Berhad ผู้นำด้านการขนส่งก๊าซเหลวระดับโลก และลงนามข้อตกลงใช้เรือ VLECs ในการขนส่งอีเทนกับ...