นางธัญธิตา บุญญมณีกุล รองเลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) เปิดเผยถึงผลการติดตามโครงการจัดรูปที่ดินและจัดระบบน้ำเพื่อเกษตรกรรม งานปรับปรุงพื้นที่จัดรูปที่ดินโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาท่ามะกา (ระยะที่ 5) ว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ดำเนินโครงการฯ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการส่งน้ำจากคลองส่งน้ำชลประทานให้สามารถแพร่กระจายน้ำในไร่นาได้ทั่วถึงทุกแปลงเพาะปลูก ทำให้เกษตรกรได้รับน้ำตามปริมาณและช่วงเวลาที่ต้องการอย่างเป็นระบบ และลดความขัดแย้งเรื่องการใช้น้ำ โดยมีสำนักงานจัดรูปที่ดินและจัดระบบน้ำเพื่อเกษตรกรรมที่ 27 เป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลัก กำหนดเป้าหมายดำเนินการพื้นที่ 1,000 ไร่ มีระยะเวลาดำเนินโครงการตั้งแต่เดือนธันวาคม พ.ศ. 2566 และดำเนินการแล้วเสร็จเมื่อเดือนกันยายน พ.ศ. 2567
จากการลงพื้นที่ติดตามโครงการฯ ของ สศก. โดย ศูนย์ประเมินผล ช่วงเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ในพื้นที่จัดรูปที่ดิน ต.ม่วงชุม อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี พบว่า พื้นที่โครงการมีการจัดรูปที่ดินแบบกึ่งสมบูรณ์แบบ (Extensive) ตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อน ทำให้คูส่งน้ำของโครงการเสื่อมสภาพไปตามกาลเวลา ดังนั้น สำนักงานจัดรูปที่ดินและจัดระบบน้ำเพื่อเกษตรกรรมที่ 27 จึงได้มีการปรับปรุงคลองส่งน้ำเป็นระยะที่ 5 โดยการก่อสร้างคูส่งน้ำด้วยวิธีการถมดินอัดแน่นใหม่ ขุดคูส่งน้ำ และบดอัดหินคลุก จากนั้นดาดคอนกรีต ความยาว 10,045 เมตร พร้อมก่อสร้างอาคารประกอบสำหรับใช้เป็นประตู เปิด - ปิด ระบบส่งน้ำในพื้นที่ และบานระบายน้ำตลอดสาย จำนวน 76 จุด
การปรับปรุงคลองส่งน้ำดังกล่าวทำให้เกษตรกรใช้น้ำในการปลูกข้าวนาปีและนาปรังได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ส่งผลให้เกษตรกรในพื้นที่โครงการ ซึ่งรวมกลุ่มเป็นกลุ่มผู้ใช้น้ำหวายเหนียวร่วมใจพัฒนาพื้นที่เพาะปลูกรวมประมาณ 1,000 ไร่ เกษตรกร 40 ครัวเรือน ได้รับผลผลิตและมีรายได้สุทธิเพิ่มขึ้น โดยผลผลิต ข้าวนาปีเพิ่มขึ้นจากเดิมไร่ละ 862.32 กิโลกรัม เพิ่มเป็นไร่ละ 919.92 กิโลกรัม (เพิ่มขึ้นไร่ละ 57.60 กิโลกรัม หรือ ร้อยละ 6.68) ผลผลิตข้าวนาปรัง จากเดิมไร่ละ 852.55 กิโลกรัม เพิ่มเป็นไร่ละ 855.92 กิโลกรัม (เพิ่มขึ้นไร่ละ 3.37 กิโลกรัม หรือร้อยละ 0.40) ส่งผลให้เกษตรกรมีรายได้สุทธิ (กำไร) จากการจำหน่ายข้าวนาปี จากเดิม 2,631.15 บาทต่อไร่ต่อปี เพิ่มเป็น 3,338.22 บาทต่อไร่ต่อปี (เพิ่มขึ้น 707.07 บาทต่อไร่ต่อปี หรือ ร้อยละ 26.87) และมีรายได้สุทธิจากการจำหน่ายข้าวนาปรัง จากเดิม 1,675.51 บาทต่อไร่ต่อปี เพิ่มเป็น 1,840.56 บาทต่อไร่ต่อปี (เพิ่มขึ้น 165.05 บาทต่อไร่ต่อปี หรือ ร้อยละ 9.85) นอกจากนี้ ยังช่วยลดปัญหาความขัดแย้งเรื่องการใช้น้ำในพื้นที่ได้อีกด้วย
อย่างไรก็ตาม เพื่อให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน เกษตรกรในพื้นที่ควรมีการจัดประชุมกลุ่มเกษตรกรผู้ใช้น้ำเป็นประจำอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้การบริหารจัดการน้ำเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถปรับแผนการจัดสรรน้ำได้อย่างทันท่วงที เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่สมาชิกกลุ่มเกษตรกรต่อไป
เลขาธิการ สศก. เตรียมนำทีม ลุย Crop Cutting ภาคสนามเพชรบูรณ์ 27 ตุลาคมนี้ ลงพื้นที่แปลงข้าวโพดเกษตรกร ยกระดับข้อมูลแม่นยำพืชเศรษฐกิจของประเทศ
สศท.12 ชวนศึกษาวิถี เกษตรอินทรีย์ 'บ้านสวนน้อยชมจันทร์' จ.เพชรบูรณ์ แหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรแบบยั่งยืน
สศก. ลงพื้นที่สมุทรสาคร หนุนเกษตรกรเลี้ยงกุ้งขาวแวนนาไม GAP ชี้ได้เปรียบทั้งคุณภาพและความปลอดภัย
สศก. จัดสัมมนาระดมความเห็น ดึงแพลตฟอร์ม "AgriDataProv" ขับเคลื่อนการเกษตรด้วย Big Data สู่จังหวัดยุคดิจิทัล
สศก. ติดตามความก้าวหน้าโครงการจัดการความเสื่อมโทรมของที่ดิน ด้วยแนวคิด LDN มุ่งสู่การใช้ที่ดินอย่างยั่งยืน
สศท.6 ชวนเช็คอิน 'สวนผลอำไพ' จ.ตราด แหล่งเรียนรู้เกษตรอินทรีย์ สร้างมูลค่าเพิ่มเชื่อมโยงการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน
โครงการส่งเสริมและพัฒนาสินค้าเกษตรชีวภาพ หนุนเกษตรกรสร้างรายได้จากสมุนไพร-แมลงเศรษฐกิจ
สศท.6 ชี้ผลสำเร็จโครงการนำร่องการแก้ไขปัญหาลดผลกระทบจากช้างป่า พื้นที่บ้านหนองกระทิง จ.ฉะเชิงเทรา ช่วยเกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น ลดรายจ่ายครัวเรือน