ในเวทีสัมมนาวิชาการประจำปี 2568 "นวัตกรรมสังคมกับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก" จัดโดยมูลนิธิสัมมาชีพ วิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิต่างมีความเห็นร่วมกันว่า ถึงเวลาที่สังคมไทยจะต้องปรับวิธีคิด และกระบวนการสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจและสังคม มุ่งสู่การเติบโตใหม่ (New S-Curve) โดยเปิดให้ชุมชน ท้องถิ่นเข้ามามีส่วนร่วม รวมถึงการนำความสำเร็จของชุมชน/ท้องถิ่น มาต่อยอด ขับเคลื่อน "นวัตกรรมสังคม" เพื่อขยายผลความสำเร็จ สู่พื้นที่อื่นๆ อันจะเป็นการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำของประเทศได้อย่างแท้จริง
แผนพัฒนาประเทศฉบับ 14 ดึงประชาชนมีส่วนร่วม
เอ็นนู ซื่อสุวรรณ รองประธานกรรมการมูลนิธิสัมมาชีพ และกรรมการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) กล่าวว่า การกำหนดแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่ผ่านมา 13 ฉบับ ยังขาดการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน ขณะที่ผลลัพธ์การดำเนินงานยังไม่บรรลุเป้าหมายเท่าที่ควร ทั้งในเชิงเศรษฐกิจและสังคม ดังนั้นในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 14 (ระหว่างปี 2571-2575) จะเป็นแผนแรกที่เปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมด้วยการสำรวจความเห็นจากสาธารณผ่านแพลทฟอร์มออนไลน์
แผนฯ14 มุ่งสู่ "เศรษฐกิจขยายตัวสูงขึ้นอย่างทั่วถึงและยั่งยืน"
ทั้งนี้ ทิศทางการพัฒนาประเทศของแผนฯ 14 มุ่งสู่ Resilient Rise เศรษฐกิจขยายตัวสูงและมีศักยภาพในการปรับและฟื้นตัวจากวิกฤติได้อย่างยั่งยืนด้วยการเพิ่มผลิตภาพและความสามารถในการแข่งขัน ภายใต้ 5 เสาหลัก ได้แก่ การพลิกโฉมเศรษฐกิจ, การปฏิรูปภาครัฐ, การพัฒนาทุนมนุษย์, การสร้างความยั่งยืนด้านทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม และการถ่ายโอนเทคโนโลยีและนวัตกรรม
ไทยติดกับดักแนวคิดกระจายความมั่งคั่งส่วนกลาง สู่พื้นที่รอบนอก
อภิชาติ โตดิลกเวชช์ รองประธานกรรมการมูลนิธิสัมมาชีพ และอดีตอธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน ปาฐกถาในหัวข้อ "ประสบการณ์การขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากของรัฐและเอกชน" ระบุถึงข้อมูลประชากรที่อยู่ในเศรษฐกิจฐานรากว่า ประกอบด้วย เกษตรกรจำนวน 8.6 ล้านคน เกษตรแปลงใหญ่ 6.18 แสนคน วิสาหกิจชุมชน 1.2 ล้านคน จำนวน 6.6 หมื่นกลุ่ม (จาก 7 หมื่นหมู่บ้าน) โอท็อป 9.7 หมื่นกลุ่ม มีผลิตภัณฑ์ 2.1 แสนรายการ มียอดขายราว 3 แสนล้านบาท และเอสเอ็มอีจำนวน 3.1 ล้านราย
ส่วนการพัฒนาศักยภาพภาพของเศรษฐกิจฐานรากที่ผ่านมา พบว่ายังติดกับดัก จากแนวคิดที่ว่า เศรษฐกิจจะค่อยๆ ปรับตัวและกระจายความมั่งคั่งจากส่วนกลางไปยังพื้นที่รอบนอกด้วยตัวเอง แต่ผลลัพธ์ไม่ได้เป็นเช่นนั้น
โดยข้อมูลจากสศช.ปี 2566 พบว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจยังกระจุกตัว อยู่ในเมืองหลัก 10 จังหวัดที่สร้างรายได้ให้ประเทศ 10.85 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 64.29% ของจีดีพีรวมของประเทศ (18 ล้านล้านบาท) ขณะที่เมืองรองซึ่งมีมากถึง 57 จังหวัด มีสัดส่วนขับเคลื่อนจีดีพีเพียง 34.15 % และเมืองจิ๋ว 10 จังหวัด มีส่วนขับเคลื่อนจีดีพีเพียง 1.56% เท่านั้น
ดังนั้น รายได้ของประเทศหรือการจัดเก็บภาษีจึงไม่เพียงพอกับค่าใช้จ่ายในการบริหารประเทศ โดยไทยเก็บภาษีได้ 2.6 ล้านล้านบาท ขณะที่ต้องใช้งบประมาณบริหารประเทศราว 3.85 ล้านล้านบาท ถ้าไม่มีการแก้ไขปัญหาดังกล่าวนี้ เศรษฐกิจฐานรากก็ไปไม่ได้
แนะสร้างการเติบโตใหม่ ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม
รองประธานกรรมการมูลนิธิสัมมาชีพเสนอ "หลักการ" ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากว่า จำเป็นต้องสร้างการเติบโตใหม่ (New S- Curve) โดยใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมเป็นตัวนำ เพื่อสร้างกำไรต่อหน่วย (Margin) ในภาคการผลิตต้นน้ำของชาวบ้านที่ปัจจุบันมี Margin เพียง 5-7% ขึ้นเป็น 15-30% จึงจะทำให้ชุมชน/ท้องถิ่น มีรายได้ที่เพิ่มขึ้น มาขับเคลื่อนเศรษฐกิจในภาพรวมได้มากขึ้น
"สินค้าโอท็อป 2 แสนกว่าผลิตภัณฑ์ ชาวบ้านได้กำไรเท่าไหร่ คำตอบคือ 5-7% ซึ่งน้อยมากเมื่อเทียบกับซัพพลายเชนกลางน้ำ (ผู้รวบรวมสินค้า แปรรูป และจำหน่าย) ที่ได้กำไรมากถึง 95%
ดังนั้นต้องสอนให้โอท็อปพัฒนาจากต้นน้ำเป็นกลางน้ำให้ครบวงจร ต้องสอนชาวบ้านให้เป็นนักแปรรูป ให้เขาได้กำไร 30%"
เขากล่าวต่อว่า ในการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากที่ผ่านมา ภาครัฐทำอยู่ 4 เรื่อง คือ ภูมิปัญญา การวิจัย นวัตกรรม การพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ แต่ยังมีอีก 2 เรื่องที่ภาครัฐไม่ได้ทำต่อ คือ Scale up และ New S-Curve ทั้งที่หากชุมชนสามารถพัฒนา New S-Curve ได้จะทำให้มีรายได้แบบก้าวกระโดด มีกำไรเพิ่ม 15% ได้
ตัวอย่างเช่น ชุมชนสะเอียบ ซึ่งมีภูมิปัญญาการต้มเหล้ามากว่า 200 ปี ชุมชนสะเอียบได้พัฒนาใน 2 ประเด็นหลัง คือ การ Scale up และสร้าง New S-Curve จึงสามารถสร้างรายได้แบบก้าวกระโดด
"อันนี้โต 2,000 % เลย รายได้ปี '68 ประมาณ 3,600 ล้านบาท แค่ตำบลเดียวประชากร 5 พันคนทำจีดีพีให้จังหวัด 3,600 ล้านบาท ขณะที่ภาคเกษตรทั้งจังหวัดทำรายได้พันล้าน แต่อันนี้สามพันกว่าล้าน
ที่แก่งคอย ชะอม ก็ทำได้ในลักษณะนี้ ปลูกไม้ล้อมขาย ขณะที่รายได้ต่อหัวของคนไทย 3.8 หมื่นบาทต่อคนต่อปี แต่ที่นี่วันเดียวเขาทำได้แล้ว และยังส่งออกไปสิงคโปร์ ฮ่องกง"
ชง 4 ข้อเสนอพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก
แนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากให้สำเร็จ ในมุมมองของรองประธานกรรมการมูลนิธิสัมมาชีพได้เสนอไว้ 4 แนวทาง ได้แก่
- การพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก ควรเน้นไปที่ความสามารถ ความร่วมมือขององค์กรในระดับเมือง/ท้องถิ่นและพัฒนาจากความสำเร็จของผู้ประกอบการ หรือธุรกิจที่ขยายผลได้และมีรายได้ก้าวกระโดด เพื่อขยายผลสำเร็จออกไปให้มากขึ้น และควรลดการผูกโยงกับการวางแผนและจัดการจากส่วนกลาง ที่แม้จะกระจายโครงการได้มาก แต่บรรลุเป้าหมายได้ยาก หรือการพัฒนาโดยอิงกับศักยภาพผู้นำในพื้นที่ ก็ประสบความสำเร็จแค่ 50%
- บูรณาการเชิงพื้นที่เพื่อมุ่งผลสัมฤทธิ์ ควรใช้หลักการ "ทำมาหากิน" ผ่านภูมิปัญญา การวิจัยและนวัตกรรม การผลิตผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐาน และ "การทำมาค้าขาย" ผ่านการพัฒนาผู้ประกอบการมืออาชีพ และการสร้างรายได้ใหม่แบบก้าวกระโดด ดังเช่น กรณีของสะเอียบ หรือชะอมที่ทำเรื่องไม้ล้อม
- การสร้างเมืองรองให้แข็งแรงโตขึ้น ผ่านกระบวนการสานเสวนาอย่างเข้มข้น โดยมีองค์กรบริหารส่วนท้องถิ่น ภาคเอกชนต่างๆ เป็นกลไกการขับเคลื่อนหลักร่วมกัน เพื่อร่วมกันประเมินศักยภาพพื้นที่และความต้องการของคนในพื้นที่ และลงมือปฏิบัติจริง
4.สร้างระบบเศรษฐกิจฐานรากให้ยั่งยืน ผ่านการสร้างเครือข่ายชุมชน การรวมพลังในกลุ่มอาชีพ และการพอเพียงเลี้ยงตัวแองได้ เช่น การขยายกิจกรรมทางเศรษฐกิจหลากหลาย ทำให้เกิดโอกาสใหม่ ในการสร้างรายได้ก้าวกระโดด, การสร้างงาน ทักษะความชำนาญเป็นผู้ประกอบการมืออาชีพ มีการพัฒนาการผลิต บริการ และมีกำลังซื้อจากตลาด เป็นต้น
นวัตกรรมสัมมาชีพ" รากแก้วเศรษฐกิจใหม่
หนุนฐานราก-ท้องถิ่นโตอย่างยั่งยืน
ดร.มงคล ลีลาธรรม ประธานกรรมการบริหารมูลนิธิสัมมาชีพ ได้กล่าวว่า "นวัตกรรมสัมมาชีพ" คือรากแก้วของ New S-Curve ไทย เพราะเป็นการนำวัฒนธรรมแห่งความรู้ผสานกับความสุจริต เพื่อสร้างเศรษฐกิจฐานรากที่แข็งแรงและยั่งยืน ซึ่งแนวคิดนี้สอดคล้องกับงานโนเบลเศรษฐศาสตร์ 2025 ที่ระบุว่า แหล่งพลังของนวัตกรรมไม่ใช่เงินทุน แต่คือ "ความรู้และความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี" ดังนั้น เมื่อผสานเข้ากับแนวคิดสัมมาชีพ จะก่อเกิด "ปัญญา + ความสุจริต" นำไปสู่เศรษฐกิจใหม่ที่แท้จริง โดย 3 เสาหลักของนวัตกรรมสัมมาชีพ ประกอบด้วย
- ความใหม่บนความสุจริต (Newness & Ethics) หมายถึง การสร้างผลิตภัณฑ์ บริการ หรือกระบวนการใหม่ ขณะที่หัวใจของ "สัมมาชีพ" คือการเติมคำว่า "ความสุจริตหรือคุณธรรม" เข้าไป ดังนั้น การสร้างสรรค์สิ่งใหม่จึงหมายรวมถึง การสร้างสรรค์สิ่งใหม่ที่ "ดีกว่า" และ "ไม่เบียดเบียน"
- พลังปัญญาและองค์ความรู้ (Knowledge Power) การส่งเสริมให้คนท้องถิ่นในการค้นคว้าเทคนิคใหม่ ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับทุนทางสังคมและทุนธรรมชาติในพื้นที่
- การสร้างคุณค่าและประโยชน์จริง (Value Creation) คือการสร้างคุณค่าต่อเศรษฐกิจและสังคม เช่น การลดต้นทุน การเพิ่มประสิทธิภาพ และที่สำคัญคือ การแก้ปัญหาทางสังคมในท้องถิ่นได้อย่างแท้จริง
"การเติบโตแบบสัมมาชีพไม่ใช่โตเร็วเหมือน "ยอดไม้" แต่คือการสร้าง "รากแก้วลึกและมั่นคง" ผ่าน 3 กระบวนการสำคัญ—การเชื่อมความรู้ การแปรรูปอย่างมีมาตรฐาน และการสร้างเครือข่ายที่เป็นธรรม เพื่อให้รายได้กลับสู่ชุมชนอย่างทั่วถึง" ดร.มงคล กล่าว
ทั้งนี้ การจะสร้างความสำเร็จของนวัตกรรมสัมมาชีพ ประกอบด้วย 1. การเชื่อมความรู้ เช่น การนำวัตถุดิบ GI (สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์) หรือสมุนไพรท้องถิ่น เข้าสู่กระบวนการวิจัยเพื่อพิสูจน์ "สารสำคัญ" ด้วยวิทยาศาสตร์ 2. กระบวนการแปรรูปที่ได้มาตรฐาน เช่น การพัฒนาวัตถุดิบไปสู่สารสกัดเข้มข้นมาตรฐานยา ต้องใช้วิธีสกัดที่ ปลอดภัย ซึ่งถือเป็นการเพิ่มมูลค่าอย่างมีคุณธรรมตามหลักสัมมาชีพ 3. สร้างเครือข่าย: การสร้างความร่วมมือที่ยุติธรรม เพื่อให้ผลประโยชน์และรายได้กลับคืนสู่เศรษฐกิจฐานรากอย่างทั่วถึง
แสวงหาแนวทางใหม่ แก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ
ดร.สุนทร คุณชัยมัง ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนานวัตกรรมสังคม วิทยาลัยผู้นำและนวัตกรรมสังคมมหาวิทยาลัยรังสิต ปาฐกถาในหัวข้อ "แนวทางการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากและโอกาสของการสร้างหัวขบวนเศรษฐกิจในระดับท้องถิ่น" โดยระบุถึงสองกรอบแนวทางการจัดการความเหลื่อมล้ำซึ่งเป็นขั้วตรงข้ามกันระหว่างทฤษฎีของ Simon Kuznets ที่ระบุว่า ความยากจนและเหลื่อมล้ำจะถูกแก้ไขไปตามการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ นั่นคือ ถ้าพัฒนาเศรษฐกิจให้เติบโตไปเรื่อยๆ แล้วความเติบโตจะกระจายไปจากเมืองใหญ่ไปสู่เมืองเล็ก เมืองจิ๋ว ชนบทได้
ขณะที่ทฤษฎีของ Thomas Piketty ระบุว่า ตราบใดที่เศรษฐกิจเติบโต และมีคนรวยได้ผลประโยชน์ตอบแทนสูงกว่าค่าเฉลี่ย แสดงว่าเกิดโอกาสที่ไม่เท่ากัน ทำให้ความเหลื่อมล้ำไม่ถูกแก้ไข
ในทฤษฎีหลังนี้เสนอว่า การจะแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำ ต้องเกิดจากการแสวงหาแนวทางใหม่ นโยบายใหม่ จึงนำมาสู่การศึกษากรณีความสำเร็จของผู้ประกอบการชุมชนไทย และต่างประเทศ เพื่อเป็นแนวทางแก้ปัญหาเศรษฐกิจแก้ปัญหาความยากจนของฐานรากในขณะนี้
กรณีศึกษา ขับเคลื่อนนวัตกรรมสังคม แก้เหลื่อมล้ำ
ดร.สุนทร นำเสนอกลุ่มตัวอย่างจากต่างประเทศที่ประสบความสำเร็จในการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำผ่านการขับเคลื่อนนวัตกรรมทางสังคม (Social Innovation Movement) อาทิเช่น กรามีนแบงก์ (Grameen Bank) ในบังคลาเทศ ที่สามารถรวมกลุ่มชาวบ้านจัดตั้งธนาคารไมโครเครดิต (ไม่ต้องใช้หลักทรัพย์ค้ำประกัน) นับเป็นการขับเคลื่อนทุนทางสังคม โดยนำความสัมพันธ์ของชาวบ้านมาดูแลซึ่งกันและกัน และแก้ปัญหาความยากจนของประเทศได้ถึง 40%, Hello Tractor ของไนจีเรีย ที่ให้บริการเช่ารถแทรกเตอร์ผ่านดิจิทัลแพลตฟอร์มแทนการซื้อรถ ช่วยลดภาระทางการเงินคนในชุมชน/ท้องถิ่น เป็นต้น
ขยายผลความสำเร็จ กลุ่ม/วิสาหกิจฯ สู่การแก้ปัญหาประเทศ
สำหรับกลุ่มหรือวิสาหกิจชุมชนในไทย ที่ประสบความสำเร็จในกระบวนการจัดการทุน และการตลาด และรอเพียงการ "เติมเต็ม" เพื่อขยายผลความสำเร็จให้กว้างออกไปจากในระดับชุมชนสู่ระดับประเทศ เช่น กลุ่มที่จัดการทุนชุมชนให้เกิดประโยชน์ อย่างกลุ่มสัจจะสะสมทรัพย์จันทบุรี ที่ริเริ่มการออมทรัพย์จากวัดกระทั่งเป็นแหล่งทุนให้บริการทั่วจังหวัด, กลุ่มออมทรัพย์ฯบ้านดอนคา กับผลงานการเป็นแหล่งทุนของ 3 อำเภอ มีสินเชื่อระดับร้อยล้าน
กลุ่มที่ผลิตได้ ขายเป็น มีความมั่นคงการตลาด เช่น วิสาหกิจชุมชนน้ำเกี๋ยน ที่มีผลงานการผลิตเวชสำอางจากการแปรรูปสมุนไพรที่ได้มาตรฐาน, วิสาหกิจชุมชนอุ่มแสง ผลิตข้าวอินทรีย์เพื่อการส่งออก และวิสาหกิจชุมชนฐานเกษตรยาง ที่สร้างมูลค่าเพิ่มจากยาง, วิสาหกิจฯ คลองตันขยายจากผักผลไม้ปลอดภัยสู่น้ำช่อดอกมะพร้าว สุราพื้นบ้านสะเอียบขยายสู่ระบบตลาด ตลาดหัวปลีส่งเสริมการเป็นตลาดของชุมชน ปตท.สานพลังกับผลงานร่วมแก้ปัญหาให้คนด้อยโอกาส ดี มี สุข ที่ร่วมพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ชุมชนรวมทั้งการตลาด โลเคิล อไลค์ ที่ส่งเสริมการท่องเที่ยวให้ชุมชนเป็นต้น
"ความสำเร็จของชุมชน เป็นความสำเร็จเบื้องต้นจากกระบวนการรวมตัวของชุมชน การสร้างมาตรฐาน แต่การจะขยายไปข้างหน้าให้กว้างขวางกว่านี้ ไปสู่การแก้ไขปัญหาความยากจนในระดับประเทศ จำเป็นต้องทบทวนเพื่อขยายบทบาทไปให้มากกว่านี้ด้วยมองมุมใหม่
New S - Curve ของชุมชนขณะนี้เกิดขึ้นแล้ว เช่น อุ่มแสง น้ำเกี๋ยน หัวปลี เพราะเป็นรายได้ใหม่ นวัตกรรมสังคมได้เกิดขึ้นแล้วที่ชุมชน อยู่ที่เราจะดำเนินการต่อยังไง"
การขับเคลื่อนนวัตกรรมทางสังคมในมุมมองของ ดร.สุนทรทำได้ 2 รูปแบบ คือ 1. การขยายผลด้วยการขยายขนาดและประสิทธิภาพ/ประสิทธิผล โดยความสามารถของนักการตลาด การส่งเสริมเทคโนโลยี เช่น การร่วมพัฒนาน้ำเกี๋ยนที่ต้องการส่งออก หรืออุ่มแสงที่ต้องการเครือข่ายผู้ผลิตข้าวอินทรีย์เพิ่ม
และ 2. การขยายผลด้วยการเลียนแบบ-ต้นแบบความสำเร็จ นั่นคือ ขยายจากอุ่มแสงหนึ่งไปอุ่มแสงสอง หรือน้ำเกี๋ยนหนึ่งไปน้ำเกี๋ยนสอง
แต่วิธีการขยายแบบนี้ ดร.สุนทรระบุว่า ความสามารถของชุมชนที่เกิดขึ้นจะอยู่ในระดับเดิม หรือมีความสามารถเท่าเดิม ดังนั้น หากนำทั้งสองรูปแบบมาผนวกกัน มีทั้งกระบวนการความคิดใหม่ มีระบบการจัดการใหม่ มีการผลิตใหม่ และมีนวัตกรรมทางสังคม ความสำเร็จจะเกิดขึ้นมากกว่า
เสนอขยายผล
เอาความสำเร็จไปต่อเติม เคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก
แนวทางขับเคลื่อนเศรษฐกิจจากฐานรากและการพัฒนาท้องถิ่นจากนวัตกรรมสังคมที่ดร.สุนทร เสนอ คือ ควรเริ่มต้นและขยายไปจาก "หน่วยความสำเร็จ" ขององค์กรชุมชน, ขยายธุรกิจ-ห่วงโซ่คุณค่า พัฒนาทั้งองค์กรเก่า-ใหม่, ประสานความร่วมมือ ความรู้ เทคโนโลยี และการตลาด, สร้างเครือข่าย ขบวน ระบบแวดล้อมที่เป็นจริงและต่างไปจากเครื่องมือบริหารงานแบบเก่า และสร้างให้เป็น "กลไกการขับเคลื่อน" ของจังหวัดยากจน เมืองรอง และหัวเมืองต่างจังหวัด
"ถ้าเราเอาความสำเร็จของต้นแบบเป็นตัวตั้ง ขยายจากหนึ่งเป็นสาม จากสามเป็นสิบ น่าจะสร้างรายได้ให้จังหวัด สร้างความเปลี่ยนแปลงภายใต้ความสำเร็จจากหน่วยข้างล่าง
โอกาสที่จะประสบความสำเร็จในการแก้ปัญหาของชุมชน ท้องถิ่นมีความเป็นไปได้
ทั้งหมดนี้คือสาระสำคัญของงานสัมมาชีพวิชาการประจำปี 2568 ของมูลนิธิสัมมาชีพ เพื่อร่วมกันคิด เสนอแนะแนวทางขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากให้เติบโตอย่างทั่วถึงและยั่งยืน
มูลนิธิสัมมาชีพเปิดเวที "นวัตกรรมสังคมขับเคลื่อนฐานราก" 18 พ.ย. นี้ ปลุกพลังชุมชนสร้างเศรษฐกิจใหม่ให้ประเทศ
InnovestX จับมือ Invesco และ Invesco Great Wall เปิดตัว DR23 "ChiNext 50" ครั้งแรกในไทย ยกระดับการเข้าถึงหุ้นเทค
กระทรวงพาณิชย์ ผนึก เซเว่นฯ เปิดช่องทางจำหน่าย! สร้างโอกาสเกษตรกรไทย ดันผลผลิตทางการเกษตร '200 ล้านชิ้น' สู่ผู้บริโภคทั่วประเทศ
NCB จัดสัมมนา "ข้อมูลเครดิต พลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย 2 ทศวรรษ" ตอกย้ำคุณค่าและพลังของข้อมูลเครดิตในฐานะโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของเศรษฐกิจไทย
Carbon Markets Club ลงนามข้อตกลงกับตลาดคาร์บอนนานาชาติมาเก๊า (MEX) ร่วมเชื่อมโยงและเสริมสร้างศักยภาพตลาดคาร์บอนในเอเชีย ขับเคลื่อนเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำในภูมิภาค
"สันติ ปิยะทัต" มอบ 7 นโยบาย หนุน OKMD ศูนย์กลางการเรียนรู้ชาติ
กรมทรัพย์สินทางปัญญา ประสานความร่วมมือ BEDO เสริมแกร่งผู้ประกอบการด้วย "สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์" หรือ "GI" เดินหน้าขึ้นทะเบียน - ควบคุมคุณภาพต่อเนื่อง เพื่อสร้าง "ชุมชนผู้ผลิต GI" ที่เข้มแข็ง
อัครา จับมือ GIT-ห้างทองแม่ทองสุก-จุฬาฯ จัดเวทีเสวนาขับเคลื่อนอุตสาหกรรมทองคำไทยสู่สากล พร้อมต่อยอดนวัตกรรมหางแร่ สู่อนาคตเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำอย่างยั่งยืน