กรุงเทพ--22 เม.ย.--ธ.ไทยทนุ
ไทยทนุโชว์ผลงานไตรมาสแรกปี 2540 กำไรขยายตัวร่วม 50% ประสบความสำเร็จอีกครั้ง ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ไม่เฟื้องฟู เผยจากผลการระดมทุนเมื่อปลายปี 2539 ที่ผ่านมา ทำให้มีฐานกองทุนที่ใหญ่ และคุณภาพสินทรัพย์ที่อยู่ในเกณฑ์ที่ดี ส่งผลให้สามารถสร้างรายได้ที่เพิ่มขึ้นในอัตราที่สูง คาดเมื่อรวมกิจการกับเอกธนกิจแล้ว ธนาคารไทยทนุ (ใหม่) จะเป็นธนาคารที่มีความมั่งคงพร้อมให้บริการลูกค้าได้อย่างครบวงจร และประสบความสำเร็จในที่สุด
นายพรสนอง ตู้จินดา กรรมการผู้จัดการ ธนาคารไทยทนุ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2540 จากรายการย่อแสดงหนี้สินและสินทรัพย์ (ธพ 1.1) ณ วันที่ 31 มีนาคม 2540 ว่าผลการดำเนินงานของธนาคารโดยรวมมีการขยายตัวในอัตราที่สูงอย่างต่อเนื่อง โดยที่ยอดสินเชื่อจำนวน 100,227 ล้านบาท และมียอดเงินฝากจำนวน 81,553 ล้านบาท โดยมียอดสินทรัพย์รวมทั้งสิ้น 126,381 ล้านบาท หรือสินทรัพย์มีการขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันกับปี 2539 ในอัตราร้อยละ 30.0 และจากงบกำไรขาดทุนที่ยังไม่ได้สอบทานและยังไม่ได้ตรวจสอบ ณ วันที่ 31 มีนาคม 2540 มียอดกำไรสุทธิจำนวน 300.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันกับปี 2539 ในอัตราที่สูงถึงร้อยละ 48.6
"จากผลการดำเนินงานดังกล่าว นับว่าธนาคารประสบความสำเร็จอย่างมาก ซึ่งสืบเนื่องมาจากการที่ธนาคารได้ประกาศระดมทุนครั้งใหญ่จำนวน 6,010 ล้านบาท ในปลายไตรมาสที่ 3 ต่อเนื่องถึงไตรมาสที่ 4 ของปี 2539 ที่ผ่านมา ทำให้ธนาคารมีศักยภาพในการขยายธุรกิจเป็นอย่างมาก นอกจากนั้นธนาคารก็ประสบความสำเร็จอีกครั้งในการระดมเงินฝากในปริมาณที่ค่อนข้างสูงมาก โดยเฉพาะช่วงเดือนกุมภาพันธ์และเดือนมีนาคมที่ผ่านมา รวมทั้งธนาคารสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายในการบริหารงานให้ลดลงอีกด้วย จึงส่งผลให้การขยายตัวของธนาคารอยู่ในอัตราที่สูงและต่อเนื่องเรื่อยมา ไม่ว่าจะเป็นทางด้านสินทรัพย์ สินเชื่อ เงินฝากและผลกำไร"
นายพรสนอง กล่าวเพิ่มเติมว่าปัจจัยสำคัญที่ทำให้ธนาคารประสบความสำเร็จ คือ ธนาคารมีฐานลูกค้าที่ดีและมีคุณภาพที่ธนาคารได้สั่งสมมา รวมทั้งคุณภาพสินทรัพย์ของธนาคารก็อยู่ในเกณฑ์ที่ดีมาโดยตลอด โดยทั้งนี้ได้ตั้งสำรองเผื่อหนี้ จัดชั้นทั้งประเภทต่ำกว่ามาตรฐาน และประเภทสงสัยจะสูญในปริมาณสูงขึ้น เพื่อตอบสนองนโยบายล่าสุดของธนาคารแห่งประเทศไทยได้รวดเร็วเกินกำหนดอีกด้วย แม้ว่าภาวะเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศได้รวดเร็วเกินกำหนดอีกด้วย แม้ว่าภาวะเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศจะไม่เอื้ออำนวยในการดำเนินธุรกิจก็ตาม--จบ--