กรุงเทพ--21 ต.ค.--สศช.
เมื่อเร็วๆ นี้ นายสมเจตน์ เตรคุพ รองเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ได้ให้การต้อนรับและบรรยายสรุปเกี่ยวกับการพัฒนาพื้นที่เฉพาะของไทย แก่คณะเจ้าหน้าที่ของสิงคโปร์ ซึ่งนำโดย Mr.Ching Chie Foo รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ
ในโอกาสนี้ นายสมเจตน์ เตรคุพ รองเลขาธิการฯ ได้บรรยายถึงสถานการณ์ทางเศรษฐกิจของไทยตอนหนึ่งว่า ในขณะนี้ประเทศไทยได้รับความช่วยเหลือจากกองุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เนื่องจากเศรษฐกิจของไทยเริ่มชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2539 อันเป็นผลสืบเนื่องจากปัญหาโครงสร้างทางเศรษฐกิจที่สะสมมา และการส่งออกที่ลดต่ำลง ซึ่งทำให้เกิดปัญหาการขาดดุลการค้า และดุลบัญชีเดินสะพัดเพิ่มสูงขึ้น นอกจากนี้ยังเกิดการชะลอตัวของการผลิตภาคอุตสาหกรรม การลงทุน การบริโภค ประกอบกับปัญหาธุรกิจอังหาริมทรัพย์และสถาบันการเงิน ซึ่งส่งผลให้เกิดปัญหาการเกิดสภาพคล่องในระบบการเงินและการผลิต ปัญหาดังกล่าวทำให้ภาวะเศรษฐกิจโดยรวมของไทยชะลอตัวอย่างรวดเร็ว และทำให้การจัดรายได้ของรัฐบาลลดต่ำกว่าที่ได้ประมาณการไว้
ดังนั้น เพื่อรักษาเป้าหมายทางเศรษฐกิจระยะปานกลางประเทศไทยจึงมีพันธะที่จะต้องปฏิบัติตามแนวทางและเงื่อนไขต่างๆ ตามที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศได้กำหนดขึ้น ซึ่งพอสรุปได้ดังนี้
1. รักษาอัตราการเจริญทางเศรษฐกิจให้อยู่ในระดับร้อยละ 3-4 ในปี 2540-2541 และคาดว่าเศรษฐกิจจะสามารถปรับสู่ระดับปกติ โดยจะขยายตัวที่ระดับร้อยละ 6-7 ในระยะต่อไป
2. ให้อัตราเงินเฟ้อโดยเฉลี่ยไม่เกินร้อยละ 7-8 ในระยะแรก และให้กลับสู่ระดับร้อยละ 4-5 ในระยะต่อไป
3. ลดการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดในปีนี้ลงให้อยู่ในระดับร้อยละ 5 ของผลิตภัณฑ์ในประเทศ และเป็นร้อยละ 3 ของผลิตภัณฑ์ในประเทศในระยะต่อไป
4. รักษาฐานะทุนสำรองระหว่างประเทศในปี 2540 ให้อยู่ที่ระดับ 23 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และเพิ่มขึ้นเป็น 25 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2541
นอกจากนี้ นายสมเจตน์ เตรคุพ ยังได้กล่าวถึงการพัฒนาเฉพาะของประเทศไทย ซึ่งประกอบด้วยการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันออก การพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคใต้ และการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันตก โดยได้ขชี้ถึงการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคตะวันออกของไทยว่า วัตถุประสงค์ในการพัฒนาพื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเลตะวันออกในระยะที่ 1 นั้น ก็เพื่อกระจายความเจริญและกิจกรรมทางเศรษฐกิจออกจากกรุงเทพฯ อย่างเป็นระบบ ทั้งนี้ เพื่อรองรับแรงงานและประชากรที่จะอพยพออกไปจากกรุงเทพฯ และภาคอื่นๆ ด้วย และเพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันกับตลาดโลก โดยพื้นที่เป้าหมายประกอบด้วยพื้นที่แหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี และพื้นที่มาบตาพุด จังหวัดระยอง โดยมีกลยุทธ์ในการพัฒนาท่าเรือน้ำลึกควบคู่ไปกับการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมเพื่อลดต้นทุนการผลิตของสินค้าไทยให้สามารถแข่งขันกับตลาดโลกได้ รวมทั้งพัฒนาชุมชนใหม่ที่มีสิ่งอำนวยความสะดวก มีบริการทางสังคมอย่างพร้อมมูล และมีการควบคุมสภาวะ สิ่งแวดล้อมควบคู่ไปด้วย
ส่วนยุทธศาสตร์การพัฒนาพื้นที่ในระยะที่ 2 นั้น จะประกอบด้วย การเปิดพื้นที่ตอนในเพื่อเชื่อมโยงการพัฒนาพื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเลตะวันออก กระตุ้นให้เป็นฐานเศรษฐกิจใหม่ และฐานการผลิตอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีสูง พัฒนาแหล่งน้ำและระบบจำหน่ายเพื่อเอื้ออำนวยต่อการพัฒนาพื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเลตะวันออกในระยะยาว และพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางสังคม เพื่อพัฒนาระบบชุมชนเมืองสังคม และสิ่งแวดล้อม ซึ่งการพัฒนาจะครอบคลุมพื้นที่ทั้ง 11 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดชลบุรี ระยอง ฉะเชิงเทรา จันทบุรี ตราด ปราจีนบุรี สระแก้ว นครนายก อยุธยา สิงห์บุรี และลพบุรี ทั้งนี้ เนื่องจากต้องการให้พื้นที่ดังกล่าวเป็นฐานเศรษฐกิจและประตูส่งออกของประเทศ ซึ่งองค์ประกอบสำคัญคือ ความเชื่อมโยงของท่าเรือน้ำลึกกับการคมนาคมขนส่งด้านอื่นๆ เช่น ถนน ทางรถไฟ และการพัฒนาเพื่อให้เกิดความเชื่อมโยงกันระหว่างอุตสาหกรรมขนาดใหญ่กับอุตสาหกรรมขนาดย่อมและขนาดเล็ก
นายสมเจตน์ เตรคุพ ยังได้กล่าวต่อไปถึงการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคใต้ว่าเป็นการ "พัฒนาสะพานเศรษฐกิจ" ซึ่งตัดข้ามภาคใต้ของไทยเชื่อมโยงระหว่างทะเลอันดามันและอ่าวไทย อันประกอบด้วยท่าเรือน้ำลึกที่กระบี่และขนอมเชื่อมโยงด้วยระบบถนน รถไฟ และท่อส่งน้ำมันมาตรฐานสูง ทั้งนี้เพื่อสนับสนุนและส่งเสริมการพัฒนากิจกรรมพาณิชย์นาวี เพื่อเปิดประตูค้าขายกับประเทศฝั่งทะเลด้านตะวันตกของอ่าวไทย เพื่อนำประเทศไทยให้เข้าสู่โครงข่ายการค้าขายของโลก และพัฒนาทำเลที่เหมาะสมสำหรับนักลงทุนต่างชาติ
สำหรับโครงการสะพานเศรษฐกิจดังกล่าวประกอบด้วย 1. ระบบการขนส่งร่วมแบบผสมผสาน ได้แก่ ท่าเรือน้ำลึก พร้อมทั้งท่าเทียบเรือน้ำมันทั้งสองฝั่ง ซึ่งเขื่อมต่อด้วยทางด่วน ทางรถไฟ และท่อน้ำมัน 2. อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับน้ำมัน 3. อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับก๊าซ 4. กิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการขนส่งทางทะเล ซึ่งอาจรวมถึงการบรรจุภัณฑ์ การเดินเรือในเว้นทางสายรอง 5. อุตสาหกรรมแปรรูปและอุตสาหกรรมการผลิตที่ใช้ทรัพยากรท้องถิ่นและวัตถุดิบที่นำและ 6.การพัฒนาเมืองเพื่อเพิ่มความได้เปรียบของพื้นที่ในการดึงดูดให้เกิดกิจการต่อเนื่องจากการขนส่งทางทะเล อุตสาหกรรม การค้าและธุรกิจต่างๆ
รองเลขาธิการฯ ได้กล่าวต่อไปอีกว่า การค้าและธุรกิจต่างๆ เนื่องจากรัฐจะต้องใช้จ่ายในการลงทุนสูงมาก จึงเห็นควรให้ใช้แนวทางการพัมนาภูมิภาคเป็นตัวนำก่อน ซึ่งประกอบด้วย พัฒนาพื้นฐานการผลิตที่เชื่อมโยงกับทรัพยากรที่มีอยู่ในภูมิภาคท้องถิ่นเอง และตลาดในประเทศก่อน ได้แก่ อุตสาหกรรมแปรรูปฃเกษตร อุตสาหกรรมแปรรูปสินแร่ และอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ส่วนแนวทางเลือกอุตสาหกรรมตัวนำพัฒนา ได้แก่ อุตสาหกรรมกลั่นน้ำมัน อุตสาหกรรมปิโตรเคมี้นต่อนเอง และการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมฐานชุมชนเมือง สังคม และสิ่งแวดล้อมควบคู่ไปด้วย
สำหรับการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันตก รองเลขาธิการฯ กล่าวว่า เป็นภูมิภาคที่สามารถพัฒนาให้เป็นศูนย์กลางความเจริญเติบโตแห่งใหม่ เพื่อรองรับการกระจายความเจริญสู่ภูมิภาค ซึ่งประกอบด้วยจังหวัดกาญจนบุรี ราชบุรี เพชรบุรี สมุทรสงคราม ประจวบคีรีขันธ์ และชุมพร รวมเป็นพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 43,700 ตร.กม. ซึ่งมีโครงสร้างการผลิตเดิมส่วนใหญ่เป็นการผลิตด้านเกษตรกรรม และปัจจุบันได้มีการเปลี่ยนแปลงเป็นอุตสาหกรรมการเกษตรเพื่อการส่งออก การค้าและการบริการ และเพื่อสนองตอบความต้องการด้านการตลาดภายในประเทศให้มากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ ปัจจุบันภาครัฐและเอกชนได้พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและบริการชุมชนเกิดขึ้นในพื้นที่จำนวนมาก เช่น โครงการพัฒนาแหล่งก๊าซธรรมชาติร่วมกับสหภาพพม่า เพื่อส่งก๊าซธรรมชาติไปยังโรงจักรไฟฟ้าราชบุรี โครงการพัฒนาสนามบินพาณิชย์ชุมพรและสนามบินเอกชนราชบุรี โครงการนิคมอุตสาหกรรมเหล็กสมบูรณ์แบบและท่าเรือน้ำลึก จัหวัดประจวบคีรีขันธ์ โครงการพัฒนาธุรกิจโรงแรมที่พักอาศัย และสถาบันการศึกษาขั้นอุดมการศึกษา จังหวัดเพชรบุรี เป็นต้น รวมทั้งได้มีการศึกษาการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันตกนี้อย่างเป็นระบบ โดยมุ่งเน้นการพัฒนาด้านการจัดการทรัพยากรท้องถิ่น คน และสิ่งแวดล้อม ให้สามาถรองรับโครงสร้างการผลิตทางเศรษฐกิจ และโครงสร้างทางสังคมที่เปลี่ยนแปลง เพื่อให้การพัฒนาสาขาต่างๆ ประสานสอดคล้องและเกื้อกูลประโยชน์ต่อกันอย่างยั่งยืนสืบต่อไป
คณะเจ้าหน้าที่สิงคโปร์ได้ให้ความสนใจในการพัฒนาพื้นที่เฉพาะดังกล่าวเป็นอย่างมาก และได้หารือแนวทางความร่วมมือระหว่างประเทศไทยและสิงคโปร์ ซึ่งรองเลขาธิการได้กล่าวสรุปในตอนท้ายว่า พื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันออกจะเป็นศูนย์กลางความร่วมมือระหว่างไทยและสิงคโปร์ได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้ โดยจะสามารถร่วมมือกันในด้านอุตสาหกรรม ปิโตรเคมี ไฟฟ้า เครื่องยนต์ ผลิตภัณฑ์เหล็ก เนื่องจากพื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันออกจะเป็นประตูสู่เขตความร่วมมือของประเทศในลุ่มแม่น้ำโขง ซึ่งสิงคโปร์จะสามารถใช้ประเทศไทยเป็นประตูสู่ประเทศเหล่านี้ได้ นอกจากนี้ยังมีความร่วมมือเพื่อพัฒนาการท่องเที่ยว โดยการสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ การพัฒนาอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงโดยการตั้งฐานการผลิตอุตสาหกรรมและบริการในเขตพื้นที่ายฝั่งทะเลตะวันออก
อย่างไรก็ตาม ในการเตรียมความพร้อมเพื่อพัฒนาความร่วมมือดังกล่าวได้มีการเน้นยุทธศาสตร์การพัฒนาด้วยการเปิดพื้นที่ตอนในโดยพิจารณาโครงข่ายบริการพื้นฐาน เชื่อมโยงกับโครงข่ายบริการพื้นฐานหลัก และประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของพื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเลตะวันออกให้เป็นฐานเศรษฐกิจใหม่ของประเทศอย่างแท้จริง รวมทั้งการพัฒนาแหล่งน้ำระบบจำหน่ายน้ำและระบบป้องกันอุทกภัย พัฒนาสิ่งแวดล้อมและโครงสร้างพื้นฐานทางสังคมเพื่อรองรับการอพยพเคลื่อนย้ายของประชาชนที่ต้องการมาประกอบอาชีพในพื้นที่ดังกล่าวต่อไป--จบ--
"วรัท" เผยมีลูกเสือ เนตรนารี ประชาชนนับหมื่นตบเท้าเข้าร่วมกิจกรรม ครูโรงเรียนวัดเขาพระยาสังฆาราม จ.อุทัยธานี ที่เสียชีวิต ได้รับพระราชทาน "เหรียญลูกเสือสรรเสริญ" ดร.วรัท พฤกษาทวีกุล รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ทำหน้าที่เลขาธิการสำนักงานลูกเสือแห่งชาติ (สลช.) เปิดเผยถึงการเตรียมความพร้อมการจัดกิจกรรมสวนสนามภายในงานวันคล้ายวันสถาปนาคณะลูกเสือแห่งชาติ ครบ 114 ปี ว่า การจัดสวนสนามในงานวันคล้ายวันสถาปนาคณะลูกเสือแห่งชาติ ครบ 114 ปี กำหนดจัดขึ้นในวันที่ 1 ก.ค.2568 ซึ่งปีนี้จะจัดงานอย่างยิ่งใหญ่ เนื่องจาก