กรมวิทย์ฯ เตือนระวังไข้หวัดใหญ่ระบาดในหน้าหนาวนี้

กรุงเทพ--1 ธ.ค.--กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เตือนประชาชนให้ระวังสุขภาพร่างกายในช่วงปลายฝนต้นหนาว โดยเฉพาะโรคติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ เช่นไข้หวัดใหญ่ ปอดบวม และหลอดลมอักเสบเป็นต้น ซึ่งพบบ่อยในช่วงระหว่างเดือนสิงหาคม-ธันวาคม สาเหตุจากเชื้อไวรัส บักเตรี และเชื้ออื่น ๆ ถ้ารักษาไม่ทันท่วงทีอาจทำให้เสียชีวิตได้ ดร.เรณู โกยสุโข อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เปิดเผยว่าโรคติดเชื้อเฉียบพลันของระบบทางเดินหายใจส่วนบนเกิดจากไวรัสไข้หวัดใหญ่ (Influenza virus) ประมาณร้อยละ 70-80 ส่วนการติดเชื้อเฉียบพลันของระบบทางเดินหายใจส่วนล่างนั้นมักจะเกิดจากไวรัสอาร์-เอส (RSV) ทำให้ผู้ป่วยเป็นโรคหลอดลมอักเสบ โรคปอดบวมในเด็กเล็ก และเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี ซึ่งมักจะมีอาการรุนแรงและอาจมีการแทรกซ้อนของเชื้อแบคทีเรียทำให้เสียชีวิตได้ สำหรับไวรัสไข้หวัดใหญ่เป็นไวรัสระบบทางเดินหายใจชนิดเดียวที่มีวัคซีนป้องกันโรค แต่เนื่องจากไวรัสไข้หวัดใหญ่มีการกลายพันธุ์เสมอ ๆ จึงมีสายพันธุ์ (Strain) ใหม่ ๆ เกิดขึ้นซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งทำให้เกิดการระบาดรุนแรงทั่วโลก ดังเช่นในปี 2500-2501 ทำให้มีผู้เสียชีวิต 21 ล้านคนทั่วโลก (WHO Collaborating Center) ซึ่งมีเครือข่าย 110 แห่ง ใน 83 ประเทศ คอยติดตามเฝ้าระวังโรคไข้หวัดใหญ่ เพื่อร่วมมือกันในการป้องกันและควบคุมโรค อย่างใกล้ชิด สำหรับประเทศไทย ได้จัดตั้งศูนย์ไข้หวัดใหญ่แห่งชาติขึ้นที่สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข มีหน้าที่ให้ความร่วมมือในการเฝ้าระวังโรค โดยการแยกเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ให้ได้เร็วที่สุด หากพบสายพันธุ์ที่ระบาดใหม่จะได้เร่งดำเนินการป้องกันและควบคุมโรค อีกทั้งรายงานข้อมูลต่อองค์การอนามัยโลก เพื่อประกอบการตัดสินใจในการคัดเลือกสายพันธุ์ที่เหมาะสมผลิตเป็นวัคซีนต่อไป ในปี 2541 นี้ ศูนย์ไข้หวัดใหญ่แห่งชาติ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ได้ทำการศึกษาคุณลักษณะของสายพันธุ์ไข้หวัดใหญ่ ตั้งแต่มกราคม-ตุลาคม 2541 จากผู้ป่วยจำนวนทั้งสิ้น 406 ราย พบเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ 251 ราย คิดเป็นร้อยละ 61.8 ซึ่งจำแนกได้หลายสายพันธุ์ พบว่ามีสายพันธุ์ใหม่ 2 สายพันธุ์ ที่มีการแพร่ระบาดในปีนี้ ที่อาจทำให้ประชากรมีโอกาสเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ง่าย เนื่องจากยังไม่มีภูมิคุ้มกันต่อสายพันธุ์ใหม่นี้ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวในตอนท้ายว่า จากการที่เชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ได้มีการพัฒนาสายพันธุ์ใหม่ ๆ ตลอดเวลา และแพร่เชื้อจากคนไปสู่คนอื่น ๆ แล้ว ยังมีวิวัฒนาการของไวรัสจากสัตว์ไปสู่คน เช่น ไข้หวัดนกที่ฮ่องกง ทำให้ยากต่อการควบคุมโรค กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ จึงต้องเฝ้าระวังติดตามไวรัสสายพันธุ์ใหม่ ที่เกิดขึ้นอย่างใกล้ชิด และร่วมมือกับองค์การอนามัยโลกตลอดเวลาเพื่อเตรียมพร้อมในการควบคุมโรค หากพบไวรัส ไข้หวัดใหญ่ชนิดอันตรายร้ายแรงจะได้ป้องกันการแพร่กระจายได้ทันเวลา ดังเช่นการระบาดของไข้หวัดนก (H5 N1) ที่ฮ่องกงเมื่อปี 2540 ซึ่งมีรายงานผู้ป่วยเพียง 18 ราย และเสียชีวิต 6 ราย แต่ไม่มีการแพร่ระบาดไปประเทศอื่น ๆ เนื่องจากความร่วมมือที่ดีของเครือข่ายและองค์การอนามัยโลก สำหรับไวรัสไข้หวัดใหญ่เป็นโรคที่แพร่กระจายได้อย่างรวดเร็ว โดยผู้ป่วยจะมีอาการไข้ ไอ มีน้ำมูก เสมหะ ปวดเมื่อยตามตัว หนาวสั่น ปวดศรีษะ หลอดลมอักเสบ หูชั้นกลางอักเสบ บางรายมีอาการรุนแรงมีโรคแทรกซ้อนของปวดบวม เป็นต้น สาเหตุหนึ่งน่าจะมาจากความแออัดของประชากร ความเจริญทางด้านคมนาคม ภูมิคุ้มกันเฉพาะบุคคลลดน้อยลง มลพิษจากสิ่วแวดล้อม ซึ่งมีผลต่อการแพร่ระบาดของโรค วิธีป้องกันไม่ให้ป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่คือ รักษาสุขภาพให้แข็งแรง ออกกำลังกายสม่ำเสมอ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ พักผ่อนให้เพียงพอไม่คลุกคลีกับผู้ป่วย หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ ไม่อยู่ในที่แออัด และฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ ในขณะที่มีการระบาดของโรค สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ ฝ่ายประชาสัมพันธ์ โทร. 5910203 ต่อ 9017, 9081 โทรสาร 5911707--จบ--

• ข่าวกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์
• ข่าวกรมวิทยาศาสตร์
• ข่าวปลายฝนต้นหนาว
• ข่าวเรณู โกยสุโข
• ข่าวโรคติดเชื้อ