กรุงเทพ--27 เม.ย.--บรรษัท
ผลการอนุมัติเงินกู้ เพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมของ บรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยในไตรมาสแรกของปีนี้จำนวน 185 โครงการเป็นเงิน 4,183 ล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) จำนวน 166 โครงการ เป็นเงิน 2,310 ล้านบาท และเป็นอุตสาหกรรมเพื่อการส่งออก จำนวน 29 โครงการ เป็นเงิน 1,476 ล้านบาท นอกจากนี้บรรษัทได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาหนี้คงค้างชำระเป็นเงิน 4,842 ล้านบาท
นายอโนทัย เตชะมนตรีกุล กรรมการและผู้จัดการทั่วไป บรรษัท ได้ให้สัมภาษณ์แก่ผู้แทนสื่อมวลชนถึงการอนุมัติสินเชื่อในไตรมาสที่ 1 ของปี 2542 ซึ่งบรรษัทได้เน้นให้การสนับสนุนแก่อุตสาหกรรม SMEs และอุตสาหกรรมการส่งออก เพื่อสนองต่อนโยบายของรัฐในการผลักดันอุตสาหกรรมทั้ง 2 ประเภทได้มีการขยายตัวให้มากขึ้น ซึ่งในไตรมาสแรกนี้บรรษัทได้อนุมัติเงินกู้แก่อุตสาหกรรมทุกประเภทไปทั้งสิ้นจำนวน 185 โครงการ จำนวนเงิน 4,183 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการขนาดใหญ่ 19 โครงการ จำนวนเงิน 1,873 ล้านบาท โครงการ SMEs จำนวน 166 โครงการ จำนวนเงิน 2,310 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 55 ของการอนุมัติทั้งหมด และสูงกว่าเป้าหมายบรรษัทที่กำหนดไว้และจากยอดอนุมัติสินเชื่อนี้เป็นสินเชื่อเพื่อการส่งออกจำนวน 29 โครงการ จำนวนเงิน 1,476 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 35 ของการอนุมัติทั้งหมด หากพิจารณาถึงที่ตั้งของโครงการแล้ว บรรษัทได้ให้การสนับสนุนแก่อุตสาหกรรมในส่วนภูมิภาค จำนวน 149 โครงการ จำนวนเงิน 3,101 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 74 เขตกรุงเทพและปริมณฑล จำนวน 36 โครงการ จำนวนเงิน 1,082 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 26 ประเภทอุตสาหกรรมที่อนุมัติสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่ม เครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าและผลิตภัณฑ์เซรามิก
นายอโนทัย เตชะมตรีกุล ได้ชี้แจงต่อไปว่า สำหรับในเรื่องการแก้ไขปัญหาหนี้ค้างชำระ ในไตรมาสที่ 1 ของปี 2542 ซึ่งบรรษัทได้ดำเนินการช่วยเหลือลูกค้าที่เป็นหนี้จัดชั้นต่ำกว่ามาตรฐาน (NPL) รวมถึงลูกค้าที่เริ่มมีปัญหาแต่ยังไม่ได้เป็นหนี้จัดชั้นต่ำกว่ามาตรฐาน (NPL) ลงให้มากที่สุดเท่าที่จะสามารถทำได้ ตามนโยบายของทางการ โดยบรรษัทได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาหนี้ที่มีปัญหาทั้งหมดจำนวน 4,842 ล้านบาท สำหรับการแก้ไขปัญหาหนี้ค้างชำระในปี 2541 บรรษัทได้แก้ไขปัญหาหนี้ในจำนวนหนี้ต้นเงินคงค้างทั้งหมด 11,383 ล้านบาท
นายอโนทัย เตชะมนตรีกุล ได้ชี้แจงต่อไปว่าจากมาตรการของธนาคารแห่งประเทศไทย ในการให้สถาบันการเงินร่วมลงนาม Inter-Creditor Agreement และ Debtor-Creditor Agreement จะเป็นการช่วยทำให้การประนอมหนี้ระหว่างเจ้าหนี้และลูกหนี้ทำได้รวดเร็วขึ้น เพราะจะได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากทั้งฝ่ายเจ้าหนี้ร่วมและลูกหนี้ นอกจากนี้แล้วการกำหนดกรอบของเวลาในการดำเนินงานของแต่ละขั้นตอนไว้อย่างรวดเร็วและชัดเจน จะช่วยให้การดำเนินการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
นายอโนทัย เตชะมนตรีกุล ยังได้ให้ความเห็นต่อภาวะเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศไทยว่า น่าจะมีโอกาสฟื้นตัวในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ เนื่องจากแนวโน้มของสถานการณ์ต่างๆ เริ่มดีขึ้นตามลำดับ อันมีผลจากมาตรการต่างๆ ที่รัฐบาลพยายามผลักดันอยู่ในขณะนี้--จบ--