(ต่อ 5) คาสเซิล ร้อกฯร่วมกับ วิลเล็จ โรดโชว์ฯ และ เอ็นพีวี เสนอข้อมูลการสร้างภาพยนตร์เรื่อง "The Majestic"

ข่าวประชาสัมพันธ์ »

กรุงเทพฯ--22 ก.พ.--คาสเซิล ร้อกฯร่วมกับวิลเล็จ โรดโชว์ฯและเอ็นพีวี ไบรอัน ฮาว (คาร์ล เลฟเฟอร์ท) เริ่มอาชีพการแสดงในคณะละครที่นำผลงานออกแสดงในฤดูร้อน และตามหัวเมืองต่างๆ ก่อนที่บทในหนังใหญ่ และหนังทีวี จะทำให้เขาย้ายมาลอส แองเจลีสเมื่อสิบปีก่อน เขาเข้าศึกษาที่ Rhode Island College ลงเอกวิชาการแสดง และหลังจากจบออกมา แล้ว ได้รับเชิญให้ร่วมแสดงใน "They're Playing Our Song" ของ มาร์วิน แฮมลิส์ค ที่โรงละคร ชอว์นี่ เพลย์เฮาส์ ในรัฐเพนน์ซิลเวเนียในช่วงฤดูร้อน ซึ่งเป็นงานแรกที่เขาทำระดับอาชีพ ฮาวกลับไปที่นิวอิงค์แลนด์ และร่วมแสดงในละครฮิตแนวตลก "Shear Madness" เขารับแสดงทุกบทของตัวละครชายตลอดระยะเวลาสองปีที่แสดงละครเรื่องนี้ แต่เขาต้องขอบคุณคณะละคร The Stage Company แห่งบอสตัน ที่ทำให้เขาได้พบกับนักเขียนบทละคร เดวิด มาเมท ในละครเรื่อง "LA/NY Sketches" การพบกันครั้งนี้ ทำให้เกิดผลดีต่ออาชีพการแสดงของฮาวในอีกหลายปีต่อมา ในระหว่างที่พักอยู่ในบอสตัน ฮาวได้บทดารารับเชิญในทีวีซีรีส์ "Spenser: For Hire" และได้รับบัตรสมาชิกสมาคม Screen Actors Guild หลังจากนั้น ย้ายไปนิวยอร์ค เขาได้รับบทแสดงละครทั้งในบรอดเวย์ และนอกบรอดเวย์ ร่วมงานใน "Oleanna" ของ มาเมท และ "Foreplay" ของเดวิด ไอวีส ยามว่างงานละคร ฮาวรับเป็นดารารับเชิญในละครทีวีซีรีส์หลายเรื่อง รวมทั้ง "Law & Order" ที่ได้รับรางวัลเอ็มมี ฮาวลองเสี่ยงโชคโยกย้ายไปลอส แองเจลีสในระหว่างฤดูการนำหนังตัวอย่างออกอากาศทางโทรทัศน์ในปี 1992 และได้รับบทในหนังตัวอย่าง "Pilot" ของสถานี เอ็นบีซี เป็นดารารับเชิญในหนังซีรีส์ เช่น "Touched By An Angle", "Lateline", "Family Law", "CSI", "Crossing Jordan" และ "Any Day Now" ของไลฟ์ไทมในบทเดิมที่เคยแสดงมาก่อน นอกจากนี้ ยังได้รับบทประจำในซีรีส์เรื่อง "The Bonnie Hunt Show" ทางด้านจอเงิน ฮาวได้ร่วมงานกับ ฮัน อีกครั้งในหนังเรื่องแรกที่เธอกำกับการแสดงเอง "Return to Me" เขาได้แสดงในหนังแนวตลก "State and Main" ของ เดวิด มาเมท และ "Dead Man on Campus", "Spy Hard" และเมื่อเร็วๆ นี้ ใน "K-PAX" เขาได้ร่วมงานกับ เจฟ บริดจส์ และ เควิน สเปซีย์ หนังเรื่องต่อไปที่เขาได้รับบทแสดงด้วย คือ "Catch Me If You Can" ของ สตีเว่น สปีลเบิร์ก ซูซาน วิลลีส (ไอรีน เทอร์วิลลีเจอร์) ได้คลุกคลีอยู่ในวงการมานานพร้อมกับผลงานมากมายบนเวทีในบรอดเวย์ นับตั้งแต่ตัวละคร มีเดีย จนถึง มิส มาเซปปา ที่สุดคลาสิก (เธอร่วมแสดงกับ เอทธัล เมอร์แมน) ใน "Gypsy" นอกจากนี้ ยังได้ร่วมงานกับ เซอร์ อเล็ก กินเนสส์ ใน "Dylan". เข้าสวมบทของ ฟรอเลน ชไนเดอร์ (ต่อจาก ล้อตเต้ เลนย่า) ในละครเพลงที่ได้รับรางวัลโทนี่เรื่อง "Cabaret" เมื่อครั้งที่นำออกแสดงเป็นครั้งแรก ส่วนผลงานอื่นๆ บนเวทีบรอดเวย์นั้น ได้แก่ "Follies" ของ สตีเฟ่น ซันดฮายม์, "Oliver" ร่วมกับ แพ็ตตี้ ลูปองน์ และ "Take Me Along" ซึ่งเป็นเรื่องแรกของเธอในบรอดเวย์ ชีวิตในการทำงานด้านการแสดงส่วนใหญ่ของวิลลีส จะอยู่บนเวทีละคร รวมทั้งโรงละคนนอกบรอดเวย์ Mirror Repertory ที่เธอได้ร่วมแสดงในเรื่อง "Children of the Sun" และ "The Madwoman of Chaillot" ในระหว่างที่ร่วมงานกับคณะละคร National Touring Company นั้น เธอได้รับบทใน "Fiddler on the Roof" ที่ได้ตระเวณแสดงตามเมืองต่างๆ 350 แห่ง และใน "Mame", "Picnic", "Blithe Spirit", "Desk Set", "Zorba", และ "The Merchant of Venice" ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา วิลลีสได้รับบทตัวละครของเชคสเปียร์ถึง 23 บท เริ่มจากบท พอร์เชีย ใน "The Merchant of Venice" จัดแสดงที่โรงละคร บาร์เตอร์ เธียเตอร์ ใน รัฐเวอร์จีเนีย ผลงานจากละครที่จัดแสดงในฤดูร้อน อาทิเช่น บทของ สเตล์ล่า ใน "Light Up the Sky" และละครที่จัดแสดงในเทศกาลเกรท เลค เธียเตอร์, เทศกาลซานดิอาโก้ เชคสเปียร์. โรงละคร โอล์ด โกลบ เธียเตอร์ และโรงละคร คลีฟแลนด์ เพลย์เฮาส์ ที่เธอได้เข้าเป็นสมาชิก และเริ่มอาชีพนักแสดงอย่างจริงจังหลังจากได้จบการศึกษาจาก Carnegie Tech (ปัจจุบันได้เปลี่ยนเป็น Carnegie Mellon University) ในพิต์สเบิร์ก วิลลีสมีพื้นเพมาจากรัฐโอไฮโอ และผลงานหนังใหญ่ของเธอ ปรากฏให้เห็นใน "What About Bob?", "She Devil" ของ เมริล สตรีป และ "The Faculty" นอกจากนี้ ยังร่วมแสดงใน "The Effect of Gamma Rays on Man-in-the-Moon Marigolds" ภาพยนตร์เรื่องต่อไปของเธอที่จะนำออกฉาย คือ "Ropewalk" และ "Petty Crimes" ในจอแก้ว เธอได้ร่วมแสดงในหนังซีรีส์ที่นำออกอากาศช่วงกลางวันและเป็นที่นิยมกันมาก "All my Children" เป็นเวลาถึงสามปี และเป็นดารารับเชิญใน "Law & Order", "Thred Watch", "Law & Order: S.V.U." ซึ่งเป็นหนังทีวีซีรีส์ ของฟ้อกซ์ "Million dollor Mysteries" และ "Sex in the City" ของ HBO งานแสดงชิ้นเยี่ยมของเธอตลอดเวลาอันยาวนานในวงการนี้ คงเป็นการแสดงคาบาเร่ต์ที่ไม่ธรรมดา ร่วมกับมือเปียโน ร้อด เดเรฟินโก ในชุด "My First 50 Years in the Theatre" เธอได้ร้องขับขานเพลงของ โคล พอร์เตอร์. เคิร์ก เวย์ล และ โนแอล คาวเวิร์ด เกี่ยวกับผู้สร้างภาพยนตร์ แฟรงค์ ดาราบอน์ท (ผู้อำนวยการสรัาง/ผู้กำกับ) หนึ่งในหกของคนสร้างหนังที่มีชื่อเสียง และได้รับการยกย่องที่ไม่ธรรมดา เพราะหนังสองเรื่องแรกของเขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Academy Award ในสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม - ในปี 1994 "The Shawshank Redemption" (ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลทั้งหมด 7 ครั้ง) และในปี 1999 "The Green Mile" (ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลทั้งหมด 4 ครั้ง) ตัวดาราบอน์ทเองนั้น ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ ในสาขาบทภาพยนต์ดัดแปลงยอดเยี่ยม สำหรับทั้งสองเรื่อง (และทั้งสองเรื่อง สร้างจากงานเขียนของสตีเฟ่น คิง) และได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล จากสมาคมผู้กำกับการแสดงอาชีพของสหรัฐอเมริกาสำหรับทั้งสองเรื่องอีกเช่นกัน เขาได้รับรางวัล Humanitas Prize , PENWest Award, Scriptor Award จากมหาวิทยาลัยเซาท์เธิร์น แคลิฟอเนีย พร้อมกับได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลของสมาคมนักเขียน สำหรับบทภาพยนตร์ "The Shawshank Redemption" และได้รับรางวัล จากสมาคมนักวิจารณ์ Broadcast Film Critics สำหรับการดัดแปลงบทภาพยนตร์ "The Green Mile" พร้อมกับอีกสองรางวัลจาก People's Choice Award ประเภทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม (ดรามา) และภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ดาราบอนท์เกิดในฝรั่งเศสในปี 1959 พ่อของเขาเป็นชาวฮังกาเรียนหนีลี้ภัยมาจากเมืองบูดาเปสต์ระหว่างการจลาจลในปี 1956 เขาอพยพไปสหรัฐอเมริกาตั้งแต่วัยเด็ก และหลังจากย้ายที่อยู่ไปมาหลายแห่งทั่วประเทศ ครอบครัวของเขาตัดสินใจปักหลักลงที่ลอส แองเจลีส ก่อนที่เขาจะเข้าเรียนชั้นมัธยม หลังจากจบจากโรงเรียน Hollywood High เขา ดาราบอน์ทใช้เวลาตอนต้นๆ ในวงการสร้างภาพยนตร์ ด้วยการทำงานเป็นผู้ช่วยผู้จัดการกองถ่าย และเจ้าหน้าที่ตกแต่งเซท งานชิ้นแรกของเขา คือเป็นผู้ช่วยของผู้ช่วยผู้จัดการกองถ่ายในหนังสยองขวัญ ปี 1981 "Hell Night" ซึ่งเขาได้พบกับคนทำหนังที่มีความมุ่งมั่นสูงอีกคน ชัค รัสเซิส ทั้งคู่ร่วมกันเขียนสคริปต์ให้ "A Nightmare on Elm Street 3: Dream Warriors" และอีกครั้งในปี 1988 เมื่อมีการนำหนังสยองขวัญคลาสิกของปี 1950 "The Blob" มาสร้างใหม่ นอกจากนี้ ดาราบอน์ทได้ร่วมเขียนบทภาพยนตร์ "The Fly II" ซึ่งเป็นตอนต่อจากเรื่องเดียวกันที่สร้างในปี 1986 ของเดวิด โครเนนเบิร์ก เขายังได้เขียนบทให้หนังทีวีซีรีส์ของจอร์จ ลูคัส "The Young Indiana Jones Chronicles" อีกเจ็ดตอน และอีกสองฉาก ในหนังฮิตซีรีส์ชุดรวมเรื่องของ HBO "Tales from the Crypt" และดาราบอน์ทได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลสมาคมนักเขียนระดับอาชีพสำหรับตอน "The Ventriloquist"s Dummy" และเมื่อเร็วๆ นี้ เขาได้รับหน้าที่บริหารอำนวยการสร้างหนังเขย่าขวัญของ HBO "Black Cat Run" ดาราบอน์ท และบริษัทสร้างภาพยนตรของเขา ดารก์วูดส โปรดักชั่นส ยังคงจับมือร่วมงานกับ คาสเซิล ร้อก เอนเทอร์เทนเมนท์ ต่อไป หลังจากเพิ่งถ่ายทำหนังใหญ่แนวเขย่าขวัญ "The Salton Sea" เสร็จเรียบร้อย ซึ่งเป็นงานเขียนของ โทนี่ เกย์ตัน และกำกับโดย ดี.เจ.คารูโซ่ ส่วนโครงการอื่นๆ ที่อยู่ระหว่างการดำเนินงานนั้น มีบทดัดแปลงจากงานเขียนคลาสิกของ เรย์ แบรดเบอรี่ "Fahrenheit 451", "Mine" ของโรเบิร์ต แม็คแคมมอน และ "The Mist" ของสตีเฟ่น คิง ไมเคิล สโลน (ผู้เขียนบทภาพยนตร์/ ผู้อำนวยการสร้างสมทบ) เป็นเพื่อนเก่าแก่ของนักสร้างหนัง แฟรงค์ ดาราบอน์ท มานานตั้งแต่สมัยที่เป็นเพื่อนร่วมชั้นกันในโรงเรียนมัธยมที่มีชื่อเสียง Hollywood High School สโลนมีส่วนเหมือนกับตัวละคร ปีเตอร์ แอปเปิลตัน ใน "The Majestic" ที่เขามีพื้นเพมาจากเมืองแองเจลีโน "The Majestic" เป็นสคริปต์เรื่องที่สองของสโลนที่ได้สร้างเป็นหนังใหญ่ แต่แรกเริ่ม เขาอยากเป็นนักแสดง จึงไปเข้าศึกษาต่อที่ L.A.City College และ UCLA ในสาขาการแสดง หลังจากจบออกมา สโลนเข้าเป็นสมาชิกของคณะละคร หลังจากนั้นร่วมทีมเป็นตลกคู่กับเพื่อน จอน เมลีชาร์ (เพื่อนเก่าจาก Hollywood High) และได้แสดงในรายการโชว์เคสแนวตลกที่โด่งดังของ แอล.เอ "The Improv" โดยไม่คาดคิดว่าจะประสบความสำเร็จ ในระหว่างปีครึ่งที่ร่วมทีมกัน ทั้งคู่เขียนสคริปต์ตลกเอง แต่ในไม่ช้า สโลนพบว่า ความสามารถที่แท้จริงของเขานั้น น่าจะอยู่หลังกล้องมากกว่า สโลนทำงานหลายอย่างระหว่างช่วงกลางวัน (และพบว่า เขาทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาด้านคอมพิวเตอร์ได้ดีทีเดียว) ในขณะที่ตรากตรำเขียนสคริปต์ตามแนวที่ถนัดในเวลากลางคืน เพื่อนนักเขียนร่วมงานของเขา สตีฟ บาร์เน็ตต์ กำลังไต่อันดับไปเรื่อยๆ ที่บริษัทของ โรเจอร์ คอร์แมน, คองคอร์ด/นิว โฮไรซัน แต่สโลนได้รับข้อเสนอให้เขียนสคริปต์เรื่องแรกของเขา "Hollywood Boulevard II" ที่มี บาร์เน็ตต์ เป็นผู้กำกับการแสดง นอกเหนือจากความสามารถในการเขียนบทภาพยนตร์แล้ว เมื่อไม่นานมานี้ สโลนเพิ่งเขียน และกำกับหนังสั้นๆ กึ่งชีวประวัติ "Two Paths" ผลงานของผู้กำกับมือใหม่คนนี้ ได้ จูน กุเทอร์แมน มาเป็นผู้อำนวยการสร้างให้ และทั้งสองร่วมกับรับรางวัลออสการ์ ประเภทภาพยนตร์เรื่องสั้น สำหรับ "Session Man" หลังจาก "The Majestic" แล้ว สโลนเริ่มเขียนสคริปต์เรื่องใหม่ ที่เขาตั้งใจให้เป็นหนังเรื่องแรกที่จะกำกับเอง "The Fundmental Things Apply" เป็นเรื่องแนวตลกโรแมนติก เกี่ยวกับสมาชิกชายสามรุ่นในครอบครัวหนึ่ง ที่ตกหลุมรักกับสาวคนเดียวกัน ที่กลับมาเกิดใหม่แต่ต่างเวลาต่างยุคกัน นอกจากนี้ เขายังได้เขียนสคริปต์ใหม่อีกเรื่อง "Miracle at Coogan's Bluff" เป็นหนัง ย้อนยุค (เช่นเดียวกับ "Majestic") กลับไปในปี 1951 เป็นเรื่องเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในเวลาสามวันของการแข่งขันเบสบอล ระหว่างทีมบรู๊คลิน ด๊อดเจอร์ส กับทีมนิวยอร์ค ไจเอนท์ส ซึ่งจบด้วยโฮมรันที่โด่งดังของบ๊อบบี้ ทอมสัน จิม เบห์นกี้ (ผู้อำนวยการสร้างระดับบริหาร) คร่ำหวอดอยู่ในวงการสร้างหนังมานาน เคยทำงานหลายหน้าทีในระหว่างสองทศวรรษที่อยู่ในธุรกิจนี้ เขากลับมาจับมือร่วมงานกับ แฟรงค์ดาราบอน์ท หลังจากได้รับหน้าที่เดียวกันนี้ในหนังของ คาสเซิลร้อก "The Salton Sea" นำแสดงโดย วาล คิลเมอร์ และจะเข้าฉายเร็วๆ นี้ เบห์นกี้เริ่มอาชีพนี้ จากการเป็นผู้ช่วยผู้กำกับ ทั้งหนังใหญ่ และหนังทีวี ผลงานของเขา อาทิเช่น "Stand by Me" แนวดรามาที่รู้จักกันดีของ ร้อบ ไรเนอร์. "Alien Nation", "Weekend at Bermie's", "Wes Craven'sNew Nightmare", "The Gumshoe Kid", "Moving Violations" และ "Let's Get Harry" เบห์นทำงานเป็นผู้จัดการกองถ่าย ใน "The Bridges of Madison County" ของ คลิ้น์ท อีสวู้ด, "The Shadow Conspirary" ของจอร์จ คอสมาโตส, หนังทีวี "The Pretender", ."Zerro Effect" ของ เจค คาสแดน รวมทั้ง "The Salton Sea" ในสามเรื่องหลัง เบห์นยังรับหน้าที่เป็นผู้อำนวนการสร้างระดับบริหารอีกด้วย (ยังมีต่อ) -สส-

ข่าวการสร้างภาพยนตร์+ภาพยนตร์เรื่องวันนี้

Kickboxer III: Armageddon การกลับมาของตำนานบนแผ่นดินไทยที่งาน Super Fight Night

ทีมงานผู้สร้างภาพยนตร์ชื่อดัง Kickboxer นำโดย Dimitri Logothetis ผู้กำกับและผู้อำนวยการสร้างวิสัยทัศน์ พร้อมกับผู้ร่วมอำนวยการสร้าง Rob Hickman ประกาศการสร้างภาพยนตร์ภาคล่าสุด "Kickboxer III: Armageddon" ซึ่งมีกำหนดถ่ายทำในประเทศไทยในปี 2025 โดยจะมีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการในงาน Super Fight Night ณ สนามมวยชื่อดังของไทย ภาคล่าสุดของแฟรนไชส์ Kickboxer ในตำนานที่เริ่มขึ้นตั้งแต่ปี 1989 ภาพยนตร์เรื่องนี้กำกับและอำนวยการสร้างโดย Dimitri Logothetis พร้อมด้วย Rob Hickman ในฐานะผู้ร่วมอำนวยการสร้าง นำ

GOYA CARES สะท้อนปัญหาการค้าเด็กผ่านภาพยนตร์เรื่อง "SOUND OF FREEDOM"

เปิดโปงความชั่วร้ายและมอบความหวังให้แก่เด็กสองล้านคนที่ตกเป็นเหยื่อการค้ามนุษย์ โกย่า แคร์ส (Goya Cares) ผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์เรื่องใหม่ "SOUND OF FREEDOM" ฉลองความสำเร็จหลังจำนวนผู้ชมภาพยนตร์ทะลุเป้า 2 ล้านคน ซึ่ง...

เตรียมพบภารกิจครั้งใหม่ที่มาพร้อมกับการไข... "เดฟ บาวติสตา" กลับมาพร้อมแอคชั่นสุคฮา ใน "My Spy พยัคฆ์ร้าย สปายแสบ" — เตรียมพบภารกิจครั้งใหม่ที่มาพร้อมกับการไขความลับ แต่กลับเจอสายป่วนฝึกหัด ที่มาสกัด...

มหาวิทยาลัยศรีปทุม จับมือสหมงคลฟิล์มและผู... ม.ศรีปทุม ชวนร่วมเทศกาลฉายหนัง 3 — มหาวิทยาลัยศรีปทุม จับมือสหมงคลฟิล์มและผู้กำกับชื่อดังอย่าง บัณฑิต ทองดี และ ปรัชญา ปิ่นแก้ว เชิญชวนผู้สนใจ...