คนไทยเก่งผลิตชุดน้ำยาสำเร็จรูปตรวจหาแอนติบอดีย์ต่อเชื้อไวรัสตับอักเสบบี

กรุงเทพฯ--7 ส.ค.--วช. สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กำหนดจัดการสัมมนาผลการวิจัยที่ได้รับทุนเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เรื่อง “การผลิตแอนติเจนชนิดผิวของไวรัสตับอักเสบบี (HBsAg) โดยวิธีทาง พันธุวิศวกรรมเพื่อพัฒนาเป็นวัคซีนและใช้ผลิตชุดน้ำยาสำเร็จรูปตรวจหาแอนติบอดีย์ต่อเชื้อไวรัสตับอักเสบบี (anti - HBsAg)” เมื่อวันอังคารที่ 6 สิงหาคม 2545 ที่ผ่านมา ณ โรงแรมมารวยการ์เด้น กรุงเทพมหานคร โดยมีนายจิรพันธ์ อรรถจินดา เลขาธิการคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ เป็นประธานเปิดการสัมมนาเวลา 09.00 น. “โรคไวรัสตับอักเสบบี” เป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญ โดยพบว่าคนไทยมีการติดเชื้อสูงและในกลุ่มผู้ติดเชื้อ จะมีผู้ที่กลายเป็นพาหะของโรคถึงร้อยละ 8 - 10 และผู้ที่เป็นพาหะเหล่านี้มีโอกาสแสดงโรคมะเร็งตับในภายหลังได้เพราะจากรายงานในปัจจุบันพบว่า ผู้ป่วยที่เป็นโรคมะเร็งตับมีสาเหตุเกิดจากไวรัสตับอักเสบบีร้อยละ 80 นอกจากนี้ ทารกที่คลอดจากมารดาที่เป็นพาหะจะมีโอกาสติดเชื้อและกลายเป็นพาหะถึงร้อยละ 65 - 90 โดยทั่วไปการแพร่เชื้ออาจเกิดได้ทางเลือด ทางเพศสัมพันธ์ และความใกล้ชิดที่มีการใช้ของร่วมกันก็มีโอกาสติดเชื้อได้สูง ปัจจุบันชุดน้ำยาสำเร็จรูปตรวจหาเชื้อไวรัสตับอักเสบบี ส่วนมากจะนำเข้าจากต่างประเทศ มีมูลค่ารวมโดยประมาณ 50 ล้านบาท ชุดน้ำยาที่นำเข้ามี 28 ชนิด ซึ่งอาจมีความไวและจำเพาะไม่เท่ากัน โดยทั่วไปชุดน้ำยาตรวจหา anti - HBsAg ที่นิยมใช้กันมักเป็นวิธี Enzyme Linked Immunosorbent Assay (ELISA) ซึ่งเป็นวิธีที่องค์การอนามัยโลกแนะนำ และวิธี Passive Haemagglutination (PHA) ซึ่งการตรวจโดยวิธี ELISA จะมีความไวและความจำเพาะดีกว่า โดยบอกปริมาณ anti - HBsAg ที่ตรวจได้เป็นค่าแน่นอน วัคซีนป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบบี (HB Vaccine) ประเทศไทยยังผลิตเองไม่ได้ สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.)จึงได้ให้ทุนสนับสนุนการวิจัย เรื่อง “การผลิตแอนติเจนชนิดผิวของไวรัสตับอักเสบบี (HBsAg) โดยวิธีทางพันธุวิศวกรรมเพื่อพัฒนาเป็นวัคซีนและใช้ผลิตชุดน้ำยาสำเร็จรูปตรวจหาแอนติบอดีย์ต่อเชื้อ ไวรัสตับอักเสบบี (anti-HBsAg)” และได้กำหนดให้มีการสัมมนาเพื่อเสนอผลงานวิจัยดังกล่าวขึ้นทั้งนี้เพื่อนำเสนอผลของการวิจัยซึ่งสามารถผลิตวัตถุดิบในการผลิตชุดน้ำยาสำเร็จรูปตรวจหา anti-HBsAg โดยวิธี Quantitative ELISA ที่มีคุณภาพดีและมีความคงทนถึง 1 ปี นอกจากนี้เมื่อทำ HBsAg ให้บริสุทธิ์ขึ้น เพื่อ formulate เป็นวัคซีนพบว่าสามารถได้วัคซีนไวรัสตับอักเสบบีที่มี Immunogenicity ขึ้นได้ ผลที่ได้จากการวิจัยสามารถนำไปประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาทางด้านสาธารณสุขของประเทศและเสนอหน่วยงานตลอดจนผู้บริหารระดับรัฐบาลเพื่อประกอบการกำหนดนโยบายในการป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบบีต่อไป--จบ-- -นห-

• ข่าวสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ
• ข่าววิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
• ข่าวโรงแรมมารวยการ์เด้น
• ข่าวจิรพันธ์ อรรถจินดา
• ข่าวการวิจัยแห่งชาติ